การตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ก่อนใช้งานเป็นเรื่องสำคัญมากนะครับ ไม่ใช่แค่เรื่องความปลอดภัยของเราเอง แต่ยังรวมถึงการป้องกันความเสียหายต่อสินค้าและทรัพย์สินอื่นๆ ด้วย เหมือนเวลาเราจะขับรถยนต์ เราก็ต้องเช็คเบื้องต้นก่อนออกเดินทางใช่ไหมครับ รถโฟล์คลิฟท์ก็เช่นกัน การตรวจเช็คเล็กๆ น้อยๆ ก่อนสตาร์ทเครื่อง จะช่วยให้เรามั่นใจได้ว่ารถพร้อมทำงาน และลดโอกาสเกิดปัญหาที่ไม่คาดฝันระหว่างวันได้เยอะเลยครับ
ข้อควรรู้ในการตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์
- ตรวจสอบสภาพรอบคันและพื้นที่ทำงานให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งกีดขวางหรืออันตราย
- เช็คระดับของเหลวต่างๆ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ และน้ำในหม้อน้ำ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
- ทดสอบระบบเบรค แตร และไฟส่องสว่างให้ทำงานปกติก่อนเริ่มงาน
- ตรวจสภาพงายก เสายก และโซ่ยก ว่าอยู่ในสภาพดี ไม่มีการชำรุดหรือสึกหรอ
- สังเกตเสียงการทำงานของเครื่องยนต์และระบบต่างๆ ว่ามีเสียงผิดปกติหรือไม่
หลักการตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ก่อนสตาร์ท

ก่อนจะบิดกุญแจ การหยุดดูรอบๆ สัก 2–3 นาทีช่วยประหยัดทั้งเวลาและงบซ่อมได้เยอะมาก ใช้ เช็คลิสต์ ง่ายๆ เดียวกันทุกวัน แล้วทำให้เป็นนิสัย จะพลาดน้อยลงมาก
การตรวจสภาพก่อนสตาร์ทเพียงไม่กี่นาที ช่วยลดเหตุขัดข้องและอุบัติเหตุได้มากกว่าที่คิด
หัวข้อ | สังเกตเร็วๆ | เวลาโดยประมาณ |
---|---|---|
รอบคัน | คราบรั่ว รอยแตก งาไม่งอ | 60–90 วินาที |
พื้นที่ทำงาน | ทางโล่ง พื้นไม่ลื่น ระยะสูงพอ | ~60 วินาที |
ผู้ขับ/ท่านั่ง | ปรับเบาะ คาดเข็มขัด ใส่ PPE | 30–45 วินาที |
ถ้าเห็นจุดเสี่ยง หยุดใช้รถ แจ้งหัวหน้า และติดป้ายห้ามใช้งานทันที
ตรวจสอบสภาพรอบคันและความสะอาด
- เดินวนรอบคันทีละด้าน ใช้ไฟฉายกวาดดูใต้ท้องรถ มองหาคราบน้ำมัน เครื่อง และไฮดรอลิก บอกใบ้การรั่วซึม
- ดูงายก แผ่นพิง และโครงหลังคานิรภัย ต้องไม่บิดงอ แตก ร้าว หรือมีหมุด/น็อตหาย
- ตรวจโซ่และรางเสาให้สะอาด ไม่มีเศษโลหะ เศษพาเลท หรือสิ่งแปลกปลอมคาอยู่
- เช็ดเลนส์ไฟและแถบสะท้อนแสงให้ใส ป้ายเตือน/สติ๊กเกอร์น้ำหนักบรรทุกอ่านได้ชัด
- สังเกตพื้นจอดเดิม ถ้ามีคราบใหม่ๆ ใต้ตำแหน่งเดิมของรถ นั่นอาจเป็นรอยรั่วที่เพิ่งเกิด
เคล็ดลัด: ใช้ผ้าสะอาดเช็ดจุดข้อต่อ/ท่อที่สงสัย แล้วทิ้งไว้ 1–2 นาที ถ้ามีชื้นซ้ำ แปลว่ามีรอยซึมจริง
ประเมินพื้นที่ทำงานและสิ่งกีดขวาง
- ไล่สายตาตั้งแต่พื้นจนเหนือศีรษะ ทางวิ่งต้องโล่ง ไม่มีพาเลทแตก ล้อยาง ชิ้นส่วนหล่นคาเส้นทาง
- เช็คพื้น: ไม่มีแอ่งน้ำ น้ำมัน ฝุ่นหนา หรือรอยแตกที่ทำให้ล้อกระแทกแรงๆ
- ตรวจระยะสูงเหนือหัว (โอเวอร์เฮด) เช่น ท่อ สายไฟ คาน ประตูม่าน ต้องสูงพอสำหรับความสูงตอนยกของ
- ดูทางลาด/ทางต่างระดับ ถ้าชันเกินที่หน้างานกำหนด ให้หลีกเลี่ยงหรือเปลี่ยนเส้นทาง
- กำหนดทางคนเดินและจุดตัดให้ชัด แจ้งทีมงานก่อนขยับรถ ลดโอกาสเจอคนโผล่กะทันหัน
- ตรวจชั้นวางและพาเลทปลายทางว่าแข็งแรงพอรองรับน้ำหนักที่จะยกจริง
เตรียมความพร้อมผู้ขับและท่านั่งปลอดภัย
- ใส่ PPE ให้ครบ: รองเท้านิรภัย เสื้อสะท้อนแสง ถุงมือที่กระชับ ไม่รบกวนคันควบคุม
- เก็บของพะรุงพะรัง โทรศัพท์ หรือน้ำดื่มออกจากพื้นวางเท้าและรอบคันเหยียบ ไม่ให้กลิ้งคาใต้แป้นเบรค
- ปรับเบาะเลื่อนหน้า–หลังให้เหยียบเบรคได้สุดโดยไม่เหยียดขาจนตึง ปรับพนักพิงให้หลังแนบเต็ม
- คาดเข็มขัดนิรภัย ตรวจกลไกล็อกว่าตึงและคืนตัวได้ดี หากติดขัดให้เปลี่ยนเส้นใหม่
- ปรับกระจกมองหลัง/ข้าง (ถ้ามี) ให้เห็นปลายงาและมุมท้ายรถมากที่สุด
- วอร์มข้อมือและไหล่เล็กน้อย ก่อนเริ่มทำงานนานๆ จะช่วยลดอาการล้าและเผลอคอนโทรลผิด
เช็คครบ 3 ส่วนนี้ก่อนสตาร์ท คุณจะเริ่มงานแบบมั่นใจขึ้น และลดงานงอกระหว่างกะได้เยอะมาก
การตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ด้านระบบยกและโครงสร้าง

ส่วนนี้คือหัวใจของการยกของหนัก ทั้งงายก เสายก โซ่ และระบบ ไฮดรอลิก ต้องพร้อมเสมอ ไม่งั้นงานสะดุดแน่ๆ และซ่อมทีเสียทั้งเวลาและเงิน
ตรวจระบบยกและโครงสร้างให้ละเอียดทุกวันก่อนเริ่มกะงาน
ตรวจงายกและแผ่นรองงา
งาที่ดีต้องตรง แข็งแรง และล็อกแน่นไปกับคาริเอจ ส่วนแผ่นรองงาก็ช่วยกันสินค้าล้มถอยหลัง เวลาตรวจให้โฟกัสตามนี้:
- มองหารอยร้าวที่ส้นงา ขอบงา และบริเวณโคนงาที่คอเกี่ยว หากเจอ หยุดใช้ทันที
- วัดความหนาบริเวณส้นงา เทียบกับสเปกเดิมบนตัวงาหรือคู่มือ ถ้าบางลงชัดเจนคือสัญญาณใกล้เปลี่ยน
- เช็คความตรงและการบิดงา มองตามแนวงาและเปรียบเทียบงาซ้าย-ขวา ปลายงาไม่ควรหงิกหรือบิด
- ทดสอบกลไกล็อกงา (สลัก/ล้อคฮุค) ให้เด้งเข้าที่และล็อกแน่น ไม่คลอน
- ตรวจแผ่นรองงา/แบ็คเรส ว่าติดตั้งแน่น สลักครบ ไม่มีคานคดงอ
ตารางเกณฑ์เบื้องต้น (ใช้เป็นแนวชี้วัดเวลาเจอเคสลังเล)
รายการ | เกณฑ์เบื้องต้น |
---|---|
สึกส้นงา | สึก ≥ 10% ของความหนาเดิม: เปลี่ยน |
ระดับปลายงาคู่ | ต่างกัน > 3% ของความยาวงา: ปรับตั้ง/พิจารณาเปลี่ยน |
รอยร้าวบนงา | พบรอยร้าวใดๆ: หยุดใช้และส่งซ่อม |
ตรวจเสายกและโซ่ยก
เสายกและโซ่ทำงานคู่กัน ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งมีปัญหา ของขึ้น-ลงไม่ลื่น แถมเสี่ยงของตกอีกด้วย:
- ตรวจรางเสา (นอก-ใน) ว่าตรง ไม่บิด ไม่มีรอยเชื่อมหรือรอยแตก
- ลูกล้อเสา/โรลเลอร์ หมุนลื่น ไม่บิ่น ไม่ฝืด ระยะคลอนน้อย
- แผ่นสไลด์และรางสัมผัสมีจาระบีพอ ไม่แห้งหรือสึกกินร่อง
- โซ่ยกไม่มีสนิม ข้อตัน พินหลวม หรือข้อกระโดด การตึงซ้าย-ขวาใกล้เคียงกัน
- เช็คลูกรอกโซ่ (sheave) หมุนลื่น ร่องไม่บาดโซ่ และแกนไม่มีเสียงฝืด
- วัดการยืดตัวของโซ่แบบง่าย: ทำเครื่องหมายช่วง 20 ลิงก์ วัดระยะเทียบสเปก ถ้ายืดเกินประมาณ 2% ให้เปลี่ยนทั้งคู่พร้อมกัน
- เช็คสลักยึดโซ่ด้านบน/ล่างและน็อตต่างๆ ว่าแน่น ไม่มีรอยยืดรูหรือแตกร้าว
ตรวจการคว่ำหงายและรอยรั่วไฮดรอลิก
ทดสอบการคว่ำ-หงายและมองหารอยรั่ว เพราะถ้าซีลเริ่มไป อาการดรอปจะมาแบบเนียนๆ:
- ลองคว่ำ-หงายสุดระยะ ดูว่าเดินนุ่ม ไม่สะดุดหรือสั่นผิดปกติ ความเร็วไป-กลับใกล้เคียงกัน
- ตรวจท่อ ข้อต่อ กระบอกไฮดรอลิก และวาล์ว มีคราบน้ำมันซึมหรือไม่ ใช้ผ้าแห้งเช็ดแล้วสังเกตใหม่
- ทดสอบอาการดริฟท์: ยกงาสูงราว 10–20 ซม. โดยไม่มีโหลด ค้างไว้ 1–2 นาที ถ้างาค่อยๆ ตกหรือเงยเอง มีโอกาสซีล/วาล์วรั่ว
- ฟังเสียงปั๊ม หากมีเสียงหวีดดังเวลาค้างคันโยกสุดระยะ อย่ากดค้างนาน เสี่ยงร้อนและสึกเร็ว
- ตรวจสายที่ถลอก โดนเสียดสี หรือรัดแน่นเกินไป เปลี่ยนก่อนแตก
ระหว่างทดสอบ ห้ามมีคนหรือสิ่งของอยู่ใต้เสาและงา และอย่าปล่อยคันควบคุมค้างที่ตำแหน่งสุดระยะนานๆ
ตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์เรื่องของเหลวและการหล่อเย็น
ของเหลวในรถโฟล์คลิฟท์ดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่ถ้าปล่อยให้ขาดหรือต่ำไปหน่อยเดียว เครื่องจะร้อนจัด เกียร์ลื่น ไฟชาร์จตก แล้วงานทั้งไลน์หยุดแบบงงๆ ได้เลย เช็คแค่ไม่กี่นาที ก่อนสตาร์ทก็สบายใจทั้งวัน
ใช้เวลา 5 นาทีเช้าๆ เช็คของเหลวให้ครบ ช่วยคุมต้นทุนซ่อมก้อนใหญ่ได้มากกว่าที่คิด
รายการ | จุดตรวจ | ระดับที่ควรเห็น | ความถี่ตรวจ |
---|---|---|---|
น้ำมันเครื่อง | ก้านวัด (Dipstick) | ระหว่าง Min–Max | ทุกเช้า |
น้ำมันเกียร์ | ก้านวัด/ช่องมองระดับ | ตามขีดบอกระดับ | สัปดาห์ละครั้ง หรือก่อนใช้งานหนัก |
น้ำในหม้อน้ำ/ถังพัก | ถังพัก/ฝาหม้อน้ำ (ตอนเครื่องเย็น) | ระหว่าง Low–Full | ทุกเช้า |
น้ำกลั่นแบตเตอรี่ | ขีด Lower–Upper ของแต่ละเซลล์ | ใกล้ Upper ไม่ล้น | ทุก 1–2 สัปดาห์ |
ตรวจระดับน้ำมันเครื่องและน้ำมันเกียร์
- จอดรถบนพื้นราบ ดับเครื่อง รอให้น้ำมันไหลกลับอ่าง 3–5 นาที แล้วค่อยดึงก้านวัดออกมาเช็ดและเสียบวัดใหม่ ดูว่าอยู่กลางช่วง Min–Max ถ้าต่ำให้เติมทีละน้อยและใช้เกรดตามคู่มือ หลีกเลี่ยงการผสมหลายเกรดแบบสุ่มๆ
- สังเกตสีและกลิ่นน้ำมันเครื่อง: สีน้ำตาลใส = ปกติ, ดำมากจนข้น = ใกล้รอบเปลี่ยน, สีครีม/น้ำนม = อาจมีน้ำเข้าระบบ ควรหยุดใช้และให้ช่างตรวจทันที
- น้ำมันเกียร์ ตรวจตามสเปกของรุ่น บางรุ่นเช็คตอนอุ่นเครื่องในตำแหน่งเกียร์ว่าง บางรุ่นเช็คตอนเครื่องเย็น ดูให้ระดับอยู่ในขีดที่ระบุ กลิ่นไหม้แรงหรือมีผงโลหะเกาะแม่เหล็ก คือสัญญาณสึกหรอ เร่งหาสาเหตุไม่ให้ลาม
- ไล่หาคราบซึมรอบแคร้ง ฝาครอบวาล์ว ชายเสื้อเกียร์ และซีลเพลา เช็ดให้แห้งแล้วค่อยสังเกตซ้ำ จะเห็นจุดรั่วใหม่ได้ชัด
- วางแผนรอบเปลี่ยนด้วยชั่วโมงการทำงานจริง อย่ารออาการเสีย เพราะราคาซ่อมโอเวอร์ฮอลเกียร์กับเครื่องไม่เคยถูก
ตรวจน้ำในหม้อน้ำและถังพักน้ำ
- ตรวจตอนเครื่องเย็นเท่านั้น เปิดฝากระโปรงดูถังพัก ระดับควรอยู่ระหว่าง Low–Full ถ้าต่ำ เติมสารหล่อเย็นหรือ คูลแลนต์ ให้ถึงขีดที่กำหนด
- เปิดฝาหม้อน้ำเฉพาะตอนเครื่องเย็นมากๆ เพื่อยืนยันว่ามีน้ำเต็มคอหม้อน้ำ ถ้าต่ำ ให้หาที่มาของการรั่วก่อนเติม ไม่อย่างนั้นจะหายไปซ้ำเดิม
- มองหาคราบตะกรันเขียว/ขาวตามข้อต่อ ท่อน้ำ ปากปั๊มน้ำ และใต้หม้อน้ำ คราบเหล่านี้มักบอกตำแหน่งซึม ตรวจสภาพฝาหม้อน้ำ ยางซีลแข็งหรือบวมให้เปลี่ยน
- ใช้น้ำยาหล่อเย็นตามสเปก อย่าใช้น้ำประปาเพียวๆ เพราะทำให้เกิดสนิมและตะกรันเร็วขึ้น ถ้าจำเป็นต้องผสม ให้ยึดสัดส่วนที่ผู้ผลิตระบุ
- เฝ้าดูเกจ์ความร้อนและพัดลม ว่าทำงานตามอุณหภูมิจริง ถ้ารถเริ่มอืดเวลาอุณหภูมิขึ้น อาจมีปัญหาเทอร์โมสตัทหรือพัดลมไม่ทำงานตามรอบ
อย่าถอดฝาหม้อน้ำตอนเครื่องยังร้อนเด็ดขาด
ตรวจน้ำกลั่นแบตเตอรี่และการรั่วซึม
- ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบเติมน้ำ ตรวจแต่ละเซลล์ให้ระดับอยู่ระหว่างขีด Lower–Upper เห็นแผ่นธาตุเมื่อก้มหัวมองถือว่าต่ำไป เติมเฉพาะน้ำกลั่นจนใกล้ Upper ห้ามล้น หากเป็นแบบไม่ต้องบำรุงรักษา ให้ดูตาแมว/ไฟบอกสถานะ
- เวลาเติมน้ำกลั่น ให้ทำหลังชาร์จหรือหลังใช้งานไม่นาน เพื่อให้ระดับนิ่ง ไม่เสี่ยงล้นตอนชาร์จ พกถุงมือและแว่นตาเสมอ กรดกระเด็นอันตรายมาก
- ตรวจขั้วแบตและสาย สังเกตคราบฟองขาวหรือสนิมเขียวๆ ถ้ามี ให้ถอดทำความสะอาดด้วยน้ำผสมผงฟูเล็กน้อย เช็ดแห้ง แล้วทาจาระบีที่ขั้วไว้บางๆ ลดการกัดกร่อน
- มองหาคราบหยดใต้ท้องรถทุกเช้า น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันไฮดรอลิก และน้ำหล่อเย็น สีและกลิ่นต่างกัน วางแผ่นรองกระดาษไว้ค้างคืนจะช่วยระบุจุดรั่วได้ง่ายขึ้น
- ถ้าพบว่าเติมของเหลวชนิดเดิมซ้ำบ่อยกว่าปกติ แปลว่ามีจุดรั่วซึมเล็กๆ ซ่อนอยู่ จับต้นตอให้เจอก่อนปัญหาลาม เช่น โอริงแข็ง ท่อยางบวม หรือแคลมป์หลวม
ตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ระบบไฟฟ้าและสัญญาณเตือน

ระบบไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย ถ้าไฟไม่ติดหรือสัญญาณเงียบ รถก็เสี่ยงทันที หลายครั้งปัญหาเล็กๆ อย่างขั้วหลวม หรือสายแตก ทำให้ต้องหยุดงานทั้งไลน์ก็มีเหมือนกัน
ถ้าไฟเตือนใดๆ ติดค้างหลังสตาร์ท หยุดรถและหาสาเหตุทันที
เคล็ดลับสั้นๆ: อย่าบายพาสหรือผูกไฟตรงข้ามผ่าน ฟิวส์ เพราะทำให้เกิดไฟไหม้ได้ง่ายมาก
ตรวจไฟส่องสว่างและไฟเตือนทุกจุด
- เปิดสวิตช์ ON แล้วตรวจไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟถอยหลัง ไฟเบรก และไฟสัญญาณหมุน (ถ้ามี)
- มองไฟเตือนบนหน้าปัด: แบตเตอรี่/ชาร์จ อุณหภูมิ น้ำมันเครื่อง เบรกมือ ไฮดรอลิก ฯลฯ ไฟควรติดช่วง ON และดับหลังเครื่องเดินนิ่ง
- เช็คโคม แตก ขุ่น ขั้วหลวม หรือสายไฟเปลือย จุดยึดต้องแน่นไม่สั่น
- ลองเปิดไฟในพื้นที่จริง ดูว่าความสว่างพอ และมุมไฟหน้าไม่แยงตาคนอื่น
ตารางสรุปไฟเตือนที่พบประจำ
ไฟเตือน | สถานะปกติหลังติดเครื่อง | ถ้าไม่ปกติควรทำอย่างไร |
---|---|---|
แบตเตอรี่/ชาร์จ | ดับ | ตรวจสายไดชาร์จ คอนเนคเตอร์ และแรงดันชาร์จ |
อุณหภูมิ | ไม่ติด | จอดพัก ตรวจระดับน้ำหล่อเย็น พัดลม และการรั่ว |
น้ำมันเครื่อง | ดับ | วัดระดับน้ำมัน หาจุดรั่ว และฟังเสียงเครื่องผิดปกติ |
เบรกมือ | ดับเมื่อปลดเบรกมือ | ปลดเบรกมือให้สุด หรือเช็คสวิตช์เซ็นเซอร์ |
ตรวจแตรและอุปกรณ์แจ้งเตือน
- กดแตรแล้วต้องดังต่อเนื่อง ไม่แหบ ไม่สะดุด ถ้าดีเลย์หรือเสียงเบาให้เช็คสวิตช์ รีเลย์ และสายกราวด์
- เข้าเกียร์ถอยช้าๆ ฟังเสียงเตือนถอยหลังและสังเกตไฟกระพริบด้านท้าย (ถ้ามี)
- เช็คไฟเตือนหมุน/สัญญาณ LED บนหลังคา ตัวยึดต้องแน่น สายไม่ถูกหนีบ
- หากสัญญาณไม่ทำงาน อย่าดัดแปลงเพิ่มเสียงแบบชั่วคราว ควรแก้ที่ต้นเหตุและเปลี่ยนอุปกรณ์ตามสเปกโรงงาน
ตรวจสภาพแบตเตอรี่และขั้วสายไฟ
- รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้า: ดูแรงดันรวมตามป้ายสเปก ขั้วต้องแน่น ไม่มีคราบขาวหรือเขียว ฉนวนสายไม่แตก และคอนเนคเตอร์ล็อกสนิท
- เปิดฝาแบตอย่างระวัง ตรวจระดับน้ำกลั่นให้อยู่ระหว่างขีด min–max เช็ดฝุ่นก่อนเปิดฝา ใช้อุปกรณ์ป้องกันตาและมือ
- ตรวจสายกราวด์ จุดรัดสาย และทางเดินสาย ไม่ให้ขูดกับชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่หรือคม
- ขณะชาร์จ ให้ทำในที่อากาศถ่ายเทดี หลีกเลี่ยงประกายไฟ และอย่าวางโลหะบนแบตเตอรี่
- รถเครื่องยนต์: ตรวจแบตสตาร์ท ขั้วแน่น แผ่นรัดไม่โยก และสังเกตสายไปไดชาร์จว่าปลั๊กแน่นดี
เช็ครวดเร็วก่อนออกรถ (ใช้เวลาไม่ถึง 3 นาที)
- มองไฟเตือนบนหน้าปัดติด–ดับปกติ 2) กดแตรและลองไฟเลี้ยว/ไฟถอย 3) เปิดไฟหน้า–ท้ายและเดินดูรอบคัน
ตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ระบบควบคุมและการหยุดรถ
ระบบควบคุมต้องนิ่งและหยุดได้ตามสั่ง ไม่งั้นเสี่ยงทั้งคนและของบนงาอยู่ดีๆ ก็ลุ้นกันเหงื่อตกกันทั้งทีม ระบบควบคุมที่ตอบสนองดีคือเส้นบางๆ ระหว่างงานปลอดภัยกับอุบัติเหตุ ใครเริ่มยังไงไม่รู้ ผมเริ่มที่พวงมาลัย เบรค แล้วค่อยไปที่คันควบคุมเสา/งา เท่านี้ก็ครอบคลุมโซนวิกฤตของ การดูแลรถโฟล์คลิฟท์ แล้ว
รายการตรวจ | เกณฑ์แนะนำ | ต้องแก้ไขเมื่อ |
---|---|---|
ระยะฟรีพวงมาลัย | ไม่เกิน 25–30 องศา หรือขอบพวงมาลัยขยับ ~30–50 มม. | หมุนแล้วหน่วง/ติดขัด หรือระยะฟรีมากผิดปกติ |
เบรคเท้า (ระยะฟรีแป้น) | ~10–20 มม. และจิกแล้วรถหน่วงทันที | แป้นจม นิ่ม เหยียบลึกแต่รถยังไหล หรือดึงซ้าย/ขวา |
เบรคมือ | ล็อกแล้วหยุดนิ่งบนทางลาดประมาณ 15–20% | ต้องดึงสุดจนแขนตึงหรือรถยังไหล |
คันควบคุมเสา/งา | สั่งแล้วตอบสนองทัน ไหลลื่น ไม่มีสะดุด | กระตุก หน่วง เสียงดังแปลก หรือ “งาตกเอง” |
รู้สึกว่ารถ “ไม่เหมือนเดิม” แค่เสี้ยววินาที ให้หยุดใช้งานและแจ้งซ่อมทันที อย่าฝืนทดสอบซ้ำด้วยน้ำหนักบรรทุก
ทดสอบพวงมาลัยและระยะฟรี
- สตาร์ทเครื่องในพื้นที่โล่ง หมุนซ้าย-ขวาจนสุดขอบ ดูว่ามีช่วงหมุนฟรีเกินไปหรือไม่ และไม่มีเสียงหอนจากปั๊มพวงมาลัย
- ปล่อยพวงมาลัยให้รถคลานช้าๆ แล้วแตะหมุนทีละนิด รถควรเปลี่ยนทิศทันใจ ไม่ต้องรอหลายองศา
- สังเกตแรงต้าน: เบา/หนักไม่สม่ำเสมออาจเป็นสลักยอย หลวม คอม้า หรือแรงดันไฮดรอลิกตก
- ตรวจรอยซึมที่ข้อต่อท่อพวงมาลัยเพาเวอร์ และโคนกระบอก ถ้าชุ่มๆ มีโอกาสเสื่อมแล้ว
ทดสอบเบรคมือและเบรคเท้า
- เหยียบเบรคเท้าค้าง: ระยะฟรีควรสั้นและ “กัด” ทันที ถ้าต้องเหยียบลึกผิดปกติ ให้สงสัยผ้าเบรค/ระบบไฮดรอลิก
- ทดสอบหยุดตรง: เหยียบเบรคที่ความเร็วต่ำ รถต้องไม่ดึงไปซ้ายหรือขวา ถ้าดึง แสดงว่าผ้า/กระบอกคนละสภาพ
- ลองจอดทางลาด 15–20% ดึงเบรคมือ รถต้องหยุดนิ่ง ถ้าไหลแม้ดึงเต็มที่ ให้ปรับตั้งสายหรือตรวจผ้าเบรคมือ
- ฟังเสียงเสียดสี/ขูดตอนเบรค นั่นคือสัญญาณผ้าบางหรือมีสิ่งแปลกปลอมในดรัม/จาน
ทดสอบคันควบคุมเสาและงายก
- ยก-ลดเสาให้สุดช่วง ดูความต่อเนื่อง ห้ามมีจังหวะ “สะอึก” หรือหน่วงจนรถเอนไม่มั่นคง
- ลองคว่ำ/หงายงาแบบสั้นๆ สังเกตการตอบสนองและเสียงวาล์ว เปิด-ปิดควรเนียน ไม่กระแทก
- ทดสอบ “ค้างตำแหน่ง”: ยกงาขึ้นเล็กน้อยโดยไม่บรรทุก ทิ้งไว้สักครู่ หากงาค่อยๆ ลดลงเอง แปลว่ามีการรั่วภายในวาล์ว/กระบอก
- ตรวจรอยซึมน้ำมันที่ฐานกระบอก เสา และข้อต่อท่อ หากมีคราบใหม่ๆ ให้หยุดใช้ก่อนหาสาเหตุ
เคล็ดลัดเล็กๆ: ทดสอบทั้งหมดควรทำแบบไม่มีโหลด คนอื่นอยู่ห่างจากหน้ารถ และตั้งรอบเครื่องนิ่งๆ ไม่เร่งไม่ลด จะฟังอาการได้ชัดกว่า
ตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ล้อและยางเพื่อการยึดเกาะ
ยางคือจุดสัมผัสเดียวระหว่างรถกับพื้นโรงงาน ถ้าพลาดนิดเดียว งานหยุดทั้งไลน์ได้ง่ายๆ ยางที่พร้อมคือฐานของการทรงตัว การยึดเกาะ และการเบรกที่สั้นลง
เช็คยางทุกต้นกะ ใช้เวลาไม่ถึง 2 นาที แต่ช่วยลดโอกาสหยุดงานยาวทั้งวันได้จริง
ตรวจสภาพยางหน้าและยางหลัง
- ส่องรอบวง: หาอาการบวม แตก ร้าว บาด คมฝัง และเศษวัสดุค้างในดอกยาง/บ่าไหล่
- เช็คการสึก: สึกกินข้างเดียวมักบอกศูนย์ล้อเพี้ยนหรือโหลดเกิน ตรวจทั้งหน้าและหลัง เพราะหลังเป็นล้อเลี้ยว สึกไว
- เส้นบอกสึก/ขีดความปลอดภัย: ถ้าถึงเส้นแล้วให้เปลี่ยนทันที โดยเฉพาะยางตันที่เส้นผ่านศูนย์กลางลดลงมาก
- หน้ายางร้อนผิดปกติหรือมีกลิ่นไหม้ระหว่างกะงาน ให้หยุดตรวจ อาจมีแรงดันต่ำหรือบรรทุกเกิน
- ถ้าเจอรอยฉีกลึกถึงชั้นผ้าใบ หรือชิ้นส่วนยางหลุดเป็นแผ่น ให้เลิกใช้คันนั้นทันทีและเปลี่ยนยาง
ตรวจแรงดันลมยางตามสเปก
- วัดขณะยางเย็นด้วยเกจที่เทียบศูนย์แล้ว และบันทึกค่าหน้า/หลังแยกกัน
- ยางลมควรใกล้ค่าคู่มือ ไม่เบี่ยงเกินราว 5–10% หากต่ำไป รถจะเลื้อย เลี้ยวยาก และยางร้อนจัด หากสูงไป หน้ายางแข็ง เกาะน้อย กระแทกช่วงล่าง
- ยางตันไม่มีแรงดันให้วัด ให้ยึดตามเส้นบอกสึก รอยแตก รอยบิ่น และขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่เหลือ
ตารางสรุป (ใช้เป็นแนวทาง – อ้างอิงคู่มือรุ่นรถเสมอ)
รายการ | วิธีเช็คย่อ | เกณฑ์อ้างอิง | สัญญาณผิดปกติ |
---|---|---|---|
ยางลมหน้า | วัดเกจยางเย็น | ใกล้ค่าคู่มือ ±5–10% | พวงมาลัยหนัก/รถดึงข้าง, ยางร้อนผิดปกติ |
ยางลมหลัง | วัดเกจยางเย็น | ใกล้ค่าคู่มือ ±5–10% | เลี้ยวหน่วง, เสียงครางจากหน้ายาง |
ยางตัน (หน้า/หลัง) | ดูเส้นบอกสึกและรอยแตก | เปลี่ยนเมื่อถึงขีดบอกสึกหรือเส้นผ่านศูนย์กลางต่ำกว่าค่ากำหนด | กระแทกแข็ง, สั่นทั้งคัน, บิ่นหลุดเป็นชิ้น |
ขั้นตอนเร็ว 5 ข้อ
- จอดพื้นเรียบ ดึงเบรกมือ 2) ตรวจด้วยตา 360° 3) วัดแรงดัน (ยางลม) 4) เป่าหรือปล่อยลมให้ได้ค่าตามคู่มือ 5) บันทึกและติดสติ๊กเกอร์วันตรวจ
ตรวจยึดแน่นของนอตล้อและรอยฉีกขาด
- มองหานอตหาย นอตคลาย เศษสนิม หรือคราบผงโลหะรอบรูนอตและดุมล้อ
- ใช้ประแจปอนด์ขันตามค่า ทอร์ก ผู้ผลิต และไล่ขันแบบสลับดาว เพื่อลดการบิดหน้าแปลน
- ทำตำหนิสีกากบาทบนหัวนอต/กระทะล้อ ถ้าเส้นเคลื่อนคือเริ่มคลาย ง่ายต่อการสังเกตระหว่างกะ
- เขย่าล้อ (เมื่อยกรถปลอดภัย) เพื่อตรวจระยะหลวมของลูกปืนล้อ ถ้ามีระยะหรือเสียงดัง ให้หยุดใช้และเรียกช่าง
- มองหารอยร้าวที่กระทะล้อ บริเวณรูนอต และคราบน้ำมันที่ดุม ซึ่งบอกซีลดุมรั่ว ต้องซ่อมก่อนวิ่งโหลด
ขั้นตอนหลังใช้งานและการบำรุงรักษาหลังการตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์
หลังยกของทั้งวัน รถก็เหนื่อยไม่ต่างจากคน ช่วงไม่กี่นาทีหลังจอดนี่แหละที่คุ้มค่ามากสุด เพราะถ้าปล่อยผ่าน วันถัดมาอาจเริ่มด้วยคราบน้ำมันหยดและงานสะดุดตั้งแต่เช้าได้ง่ายๆ
เก็บงานหลังเลิกกะให้เรียบร้อย รถจะพร้อมใช้งานวันพรุ่งนี้แบบไม่ต้องลุ้น
พบคราบหรือกลิ่นผิดปกติ ให้ติดป้ายห้ามใช้ชั่วคราว แล้วแจ้งช่างทันที อย่าฝืนขับต่อ
ปรับงายกให้อยู่แนวราบและล็อคความปลอดภัย
- เลือกพื้นที่จอดที่พื้นเรียบ ไม่บังทางเดินและทางโหลดสินค้า
- ลดงาทั้งสองข้างแตะพื้น ปรับให้งาขนานพื้นเท่ากัน ไม่ลอย ไม่จิ้ม
- ตั้งเสาให้อยู่ตำแหน่งกลาง (ไม่คว่ำ-ไม่หงาย) เพื่อไม่ให้รถทรุดตัวเอง
- กางระยะงาให้เหมาะกับงานวันถัดไป แล้วล็อกสลักงา (ถ้ามี)
- เข้าเกียร์ว่าง ดึงเบรกมือ เตะตัวหนุนล้อเมื่อจอดบนพื้นเอียง
- ปล่อยคันควบคุมไฮดรอลิกไว้กลาง ตรวจว่าไม่มีการค่อยๆ ยุบ
ข้อที่พลาดบ่อย: จอดทิ้ง “งาลอยพื้น” 1–2 ซม. เสี่ยงให้คนสะดุดหรือเกี่ยวรองเท้าได้ง่ายมาก
ปล่อยเดินเบาก่อนดับเครื่องและชาร์จแบตเตอรี่
- เครื่องยนต์ดีเซล/แก๊ส: ปล่อยเครื่องไว้ที่รอบ เดินเบา 2–3 นาที ช่วยลดอุณหภูมิระบบน้ำและเทอร์โบ จากนั้นปิดไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าก่อนดับเครื่อง (แก๊สให้ปิดวาล์วถังด้วย)
- รถไฟฟ้า: จอด ระบายอากาศดี ปลดขั้วโหลด แล้วเสียบชาร์จด้วยหัวชาร์จที่ไม่ชำรุด หลีกเลี่ยงประกายไฟและการสูบบุหรี่ใกล้จุดชาร์จ
- แบตเตอรี่กรดตะกั่ว: เช็ดขั้วให้สะอาด ตรวจระดับน้ำกลั่นและเติมหลังชาร์จให้พ้นแผ่นธาตุเล็กน้อย ไม่ล้นฝา สวมแว่นและถุงมือทุกครั้ง
- แบตเตอรี่ลิเทียม: ชาร์จตามคู่มือ หลีกเลี่ยงการใช้หัวชาร์จผิดสเปก ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น
ตารางย่อกิจกรรมหลังใช้งานและรอบเวลา
กิจกรรม | ค่า/รอบเวลา |
---|---|
เดินเบา (เครื่องยนต์) | 2–3 นาที |
ชาร์จเต็มรอบ (แบตฯ กรดตะกั่ว) | เมื่อไฟเตือนหรือต่ำกว่า ~30% |
Equalize charge (กรดตะกั่ว) | 1 ครั้ง/สัปดาห์ หรืออ้างอิงคู่มือ |
ตรวจ-เติมน้ำกลั่น | หลังชาร์จ ให้พ้นแผ่นธาตุเล็กน้อย |
เช็ดขั้ว/สายชาร์จ | รายสัปดาห์ หรือเมื่อเห็นคราบเกลือ |
หล่อลื่นจุดสำคัญและตรวจการรั่วซึม
- ทำความสะอาดก่อนหล่อลื่น: เช็ดฝุ่น ทราย และคราบเก่าบริเวณรางเสา ลูกกลิ้ง พิน และโซ่ เพื่อให้สารหล่อลื่นเกาะได้ดี
- จุดที่ควรหล่อลื่นเป็นประจำ:
- โซ่ยก: สเปรย์โซ่ชนิดไม่ฟุ้ง ละอองเกาะดี ไม่ไหลย้อน
- รางเลื่อน/ลูกกลิ้งเสา: จาระบีบางๆ ลดเสียงเสียดทาน
- พินและบูชกระบอกคว่ำ-หงาย, คันโยก, คานบังคับเลี้ยว: จาระบี NLGI #2
- ตรวจการรั่วซึมรอบคันใน 3 นาที:
- ใต้ท้องรถและรอยต่อสายไฮดรอลิก/ซีลกระบอก
- ปลั๊กถ่ายน้ำมันเครื่อง/เกียร์/เฟืองท้าย
- หม้อน้ำ ท่อยาง และบริเวณฝาหม้อน้ำ
- แยกชนิดคราบแบบเร็ว: น้ำมันไฮดรอลิกสีอำพันลื่นมือ, น้ำมันเครื่องเข้มข้น, น้ำหล่อเย็นมีสีเขียว/ชมพูมีกลิ่นหวาน, น้ำมันเกียร์กลิ่นแรงเฉพาะตัว
- แนวทางปฏิบัติเมื่อพบคราบ: ถ้าหยดรวมใหญ่กว่าเหรียญ 5 บาทให้หยุดใช้ ติดป้ายห้ามใช้งาน และบันทึกรายการแจ้งซ่อม
ตารางจุดหล่อลื่นและรอบเวลาโดยย่อ
จุด | ชนิดหล่อลื่น | รอบเวลาแนะนำ |
---|---|---|
โซ่ยก | สเปรย์โซ่ | รายวัน/ทุกกะ |
พิน-บูชกระบอกคว่ำ-หงาย | จาระบี NLGI #2 | ทุก 50–100 ชม. |
รางเลื่อน/ลูกกลิ้งเสา | จาระบีบาง | ทุก 100 ชม. |
คานบังคับเลี้ยว/เพลากลาง | จาระบี | ทุก 250 ชม. |
สรุปสั้นๆ: จอดให้ถูก ลดงาให้นิ่ง ปล่อยเครื่องคลายร้อน ชาร์จอย่างถูกวิธี และหล่อลื่นพร้อมเช็กคราบรั่ว แค่นี้ก็ลดงานซ่อมแบบไม่ต้องเดาในวันถัดไปแล้ว
สรุป: การตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ก่อนใช้งาน
การตรวจเช็คสภาพรถโฟล์คลิฟท์ก่อนใช้งานทุกครั้งเป็นเรื่องสำคัญมากเลยนะ เหมือนเราต้องเช็คความพร้อมของตัวเองก่อนไปทำงานนั่นแหละครับ การทำตามขั้นตอนที่เราแนะนำไป ไม่ว่าจะเป็นการดูสภาพงา, ระบบไฟ, ระดับของเหลวต่างๆ หรือแม้กระทั่งลมยาง มันช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจคาดไม่ถึงได้เยอะเลยนะ บางทีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามองข้ามไป อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ได้ การใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ นอกจากจะช่วยให้การทำงานราบรื่นแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของรถโฟล์คลิฟท์ของเราให้ยาวนานขึ้นด้วยนะ ลองเอาไปปรับใช้กันดูครับ เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในที่ทำงาน