Bangkok Forklift Center Co., Ltd. (BFC)

บริษัท บางกอกฟอร์คลิฟท์ เซ็นเตอร์ จำกัด (BFC)

ขาย เช่า ซื้อ ซ่อมบำรุง ดูแล รถโฟล์คลิฟท์ ครบวงจร ติดต่อเรา

ขาย เช่า ซื้อ ซ่อมบำรุง ดูแล รถโฟล์คลิฟท์ ครบวงจร ติดต่อเรา

ก่อตั้ง พ.ศ. 2527

การตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ก่อนการใช้งานอย่างถูกวิธี

การตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ก่อนการใช้งานอย่างถูกวิธี
การตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ก่อนการใช้งานอย่างถูกวิธี

การตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ก่อนใช้งานเป็นเรื่องสำคัญมากนะครับ ไม่ใช่แค่เรื่องความปลอดภัยของเราเอง แต่ยังรวมถึงการป้องกันความเสียหายต่อสินค้าและทรัพย์สินอื่นๆ ด้วย เหมือนเวลาเราจะขับรถยนต์ เราก็ต้องเช็คเบื้องต้นก่อนออกเดินทางใช่ไหมครับ รถโฟล์คลิฟท์ก็เช่นกัน การตรวจเช็คเล็กๆ น้อยๆ ก่อนสตาร์ทเครื่อง จะช่วยให้เรามั่นใจได้ว่ารถพร้อมทำงาน และลดโอกาสเกิดปัญหาที่ไม่คาดฝันระหว่างวันได้เยอะเลยครับ

ข้อควรรู้ในการตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์

  • ตรวจสอบสภาพรอบคันและพื้นที่ทำงานให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งกีดขวางหรืออันตราย
  • เช็คระดับของเหลวต่างๆ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ และน้ำในหม้อน้ำ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
  • ทดสอบระบบเบรค แตร และไฟส่องสว่างให้ทำงานปกติก่อนเริ่มงาน
  • ตรวจสภาพงายก เสายก และโซ่ยก ว่าอยู่ในสภาพดี ไม่มีการชำรุดหรือสึกหรอ
  • สังเกตเสียงการทำงานของเครื่องยนต์และระบบต่างๆ ว่ามีเสียงผิดปกติหรือไม่

หลักการตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ก่อนสตาร์ท

การตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ก่อนการใช้งานอย่างถูกวิธี
การตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ก่อนการใช้งานอย่างถูกวิธี

ก่อนจะบิดกุญแจ การหยุดดูรอบๆ สัก 2–3 นาทีช่วยประหยัดทั้งเวลาและงบซ่อมได้เยอะมาก ใช้ เช็คลิสต์ ง่ายๆ เดียวกันทุกวัน แล้วทำให้เป็นนิสัย จะพลาดน้อยลงมาก

การตรวจสภาพก่อนสตาร์ทเพียงไม่กี่นาที ช่วยลดเหตุขัดข้องและอุบัติเหตุได้มากกว่าที่คิด

หัวข้อสังเกตเร็วๆเวลาโดยประมาณ
รอบคันคราบรั่ว รอยแตก งาไม่งอ60–90 วินาที
พื้นที่ทำงานทางโล่ง พื้นไม่ลื่น ระยะสูงพอ~60 วินาที
ผู้ขับ/ท่านั่งปรับเบาะ คาดเข็มขัด ใส่ PPE30–45 วินาที

ถ้าเห็นจุดเสี่ยง หยุดใช้รถ แจ้งหัวหน้า และติดป้ายห้ามใช้งานทันที

ตรวจสอบสภาพรอบคันและความสะอาด

  • เดินวนรอบคันทีละด้าน ใช้ไฟฉายกวาดดูใต้ท้องรถ มองหาคราบน้ำมัน เครื่อง และไฮดรอลิก บอกใบ้การรั่วซึม
  • ดูงายก แผ่นพิง และโครงหลังคานิรภัย ต้องไม่บิดงอ แตก ร้าว หรือมีหมุด/น็อตหาย
  • ตรวจโซ่และรางเสาให้สะอาด ไม่มีเศษโลหะ เศษพาเลท หรือสิ่งแปลกปลอมคาอยู่
  • เช็ดเลนส์ไฟและแถบสะท้อนแสงให้ใส ป้ายเตือน/สติ๊กเกอร์น้ำหนักบรรทุกอ่านได้ชัด
  • สังเกตพื้นจอดเดิม ถ้ามีคราบใหม่ๆ ใต้ตำแหน่งเดิมของรถ นั่นอาจเป็นรอยรั่วที่เพิ่งเกิด

เคล็ดลัด: ใช้ผ้าสะอาดเช็ดจุดข้อต่อ/ท่อที่สงสัย แล้วทิ้งไว้ 1–2 นาที ถ้ามีชื้นซ้ำ แปลว่ามีรอยซึมจริง

ประเมินพื้นที่ทำงานและสิ่งกีดขวาง

  • ไล่สายตาตั้งแต่พื้นจนเหนือศีรษะ ทางวิ่งต้องโล่ง ไม่มีพาเลทแตก ล้อยาง ชิ้นส่วนหล่นคาเส้นทาง
  • เช็คพื้น: ไม่มีแอ่งน้ำ น้ำมัน ฝุ่นหนา หรือรอยแตกที่ทำให้ล้อกระแทกแรงๆ
  • ตรวจระยะสูงเหนือหัว (โอเวอร์เฮด) เช่น ท่อ สายไฟ คาน ประตูม่าน ต้องสูงพอสำหรับความสูงตอนยกของ
  • ดูทางลาด/ทางต่างระดับ ถ้าชันเกินที่หน้างานกำหนด ให้หลีกเลี่ยงหรือเปลี่ยนเส้นทาง
  • กำหนดทางคนเดินและจุดตัดให้ชัด แจ้งทีมงานก่อนขยับรถ ลดโอกาสเจอคนโผล่กะทันหัน
  • ตรวจชั้นวางและพาเลทปลายทางว่าแข็งแรงพอรองรับน้ำหนักที่จะยกจริง

เตรียมความพร้อมผู้ขับและท่านั่งปลอดภัย

  • ใส่ PPE ให้ครบ: รองเท้านิรภัย เสื้อสะท้อนแสง ถุงมือที่กระชับ ไม่รบกวนคันควบคุม
  • เก็บของพะรุงพะรัง โทรศัพท์ หรือน้ำดื่มออกจากพื้นวางเท้าและรอบคันเหยียบ ไม่ให้กลิ้งคาใต้แป้นเบรค
  • ปรับเบาะเลื่อนหน้า–หลังให้เหยียบเบรคได้สุดโดยไม่เหยียดขาจนตึง ปรับพนักพิงให้หลังแนบเต็ม
  • คาดเข็มขัดนิรภัย ตรวจกลไกล็อกว่าตึงและคืนตัวได้ดี หากติดขัดให้เปลี่ยนเส้นใหม่
  • ปรับกระจกมองหลัง/ข้าง (ถ้ามี) ให้เห็นปลายงาและมุมท้ายรถมากที่สุด
  • วอร์มข้อมือและไหล่เล็กน้อย ก่อนเริ่มทำงานนานๆ จะช่วยลดอาการล้าและเผลอคอนโทรลผิด

เช็คครบ 3 ส่วนนี้ก่อนสตาร์ท คุณจะเริ่มงานแบบมั่นใจขึ้น และลดงานงอกระหว่างกะได้เยอะมาก

การตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ด้านระบบยกและโครงสร้าง

การตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ก่อนการใช้งานอย่างถูกวิธี
การตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ก่อนการใช้งานอย่างถูกวิธี

ส่วนนี้คือหัวใจของการยกของหนัก ทั้งงายก เสายก โซ่ และระบบ ไฮดรอลิก ต้องพร้อมเสมอ ไม่งั้นงานสะดุดแน่ๆ และซ่อมทีเสียทั้งเวลาและเงิน

ตรวจระบบยกและโครงสร้างให้ละเอียดทุกวันก่อนเริ่มกะงาน

ตรวจงายกและแผ่นรองงา

งาที่ดีต้องตรง แข็งแรง และล็อกแน่นไปกับคาริเอจ ส่วนแผ่นรองงาก็ช่วยกันสินค้าล้มถอยหลัง เวลาตรวจให้โฟกัสตามนี้:

  • มองหารอยร้าวที่ส้นงา ขอบงา และบริเวณโคนงาที่คอเกี่ยว หากเจอ หยุดใช้ทันที
  • วัดความหนาบริเวณส้นงา เทียบกับสเปกเดิมบนตัวงาหรือคู่มือ ถ้าบางลงชัดเจนคือสัญญาณใกล้เปลี่ยน
  • เช็คความตรงและการบิดงา มองตามแนวงาและเปรียบเทียบงาซ้าย-ขวา ปลายงาไม่ควรหงิกหรือบิด
  • ทดสอบกลไกล็อกงา (สลัก/ล้อคฮุค) ให้เด้งเข้าที่และล็อกแน่น ไม่คลอน
  • ตรวจแผ่นรองงา/แบ็คเรส ว่าติดตั้งแน่น สลักครบ ไม่มีคานคดงอ

ตารางเกณฑ์เบื้องต้น (ใช้เป็นแนวชี้วัดเวลาเจอเคสลังเล)

รายการเกณฑ์เบื้องต้น
สึกส้นงาสึก ≥ 10% ของความหนาเดิม: เปลี่ยน
ระดับปลายงาคู่ต่างกัน > 3% ของความยาวงา: ปรับตั้ง/พิจารณาเปลี่ยน
รอยร้าวบนงาพบรอยร้าวใดๆ: หยุดใช้และส่งซ่อม

ตรวจเสายกและโซ่ยก

เสายกและโซ่ทำงานคู่กัน ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งมีปัญหา ของขึ้น-ลงไม่ลื่น แถมเสี่ยงของตกอีกด้วย:

  • ตรวจรางเสา (นอก-ใน) ว่าตรง ไม่บิด ไม่มีรอยเชื่อมหรือรอยแตก
  • ลูกล้อเสา/โรลเลอร์ หมุนลื่น ไม่บิ่น ไม่ฝืด ระยะคลอนน้อย
  • แผ่นสไลด์และรางสัมผัสมีจาระบีพอ ไม่แห้งหรือสึกกินร่อง
  • โซ่ยกไม่มีสนิม ข้อตัน พินหลวม หรือข้อกระโดด การตึงซ้าย-ขวาใกล้เคียงกัน
  • เช็คลูกรอกโซ่ (sheave) หมุนลื่น ร่องไม่บาดโซ่ และแกนไม่มีเสียงฝืด
  • วัดการยืดตัวของโซ่แบบง่าย: ทำเครื่องหมายช่วง 20 ลิงก์ วัดระยะเทียบสเปก ถ้ายืดเกินประมาณ 2% ให้เปลี่ยนทั้งคู่พร้อมกัน
  • เช็คสลักยึดโซ่ด้านบน/ล่างและน็อตต่างๆ ว่าแน่น ไม่มีรอยยืดรูหรือแตกร้าว

ตรวจการคว่ำหงายและรอยรั่วไฮดรอลิก

ทดสอบการคว่ำ-หงายและมองหารอยรั่ว เพราะถ้าซีลเริ่มไป อาการดรอปจะมาแบบเนียนๆ:

  • ลองคว่ำ-หงายสุดระยะ ดูว่าเดินนุ่ม ไม่สะดุดหรือสั่นผิดปกติ ความเร็วไป-กลับใกล้เคียงกัน
  • ตรวจท่อ ข้อต่อ กระบอกไฮดรอลิก และวาล์ว มีคราบน้ำมันซึมหรือไม่ ใช้ผ้าแห้งเช็ดแล้วสังเกตใหม่
  • ทดสอบอาการดริฟท์: ยกงาสูงราว 10–20 ซม. โดยไม่มีโหลด ค้างไว้ 1–2 นาที ถ้างาค่อยๆ ตกหรือเงยเอง มีโอกาสซีล/วาล์วรั่ว
  • ฟังเสียงปั๊ม หากมีเสียงหวีดดังเวลาค้างคันโยกสุดระยะ อย่ากดค้างนาน เสี่ยงร้อนและสึกเร็ว
  • ตรวจสายที่ถลอก โดนเสียดสี หรือรัดแน่นเกินไป เปลี่ยนก่อนแตก

ระหว่างทดสอบ ห้ามมีคนหรือสิ่งของอยู่ใต้เสาและงา และอย่าปล่อยคันควบคุมค้างที่ตำแหน่งสุดระยะนานๆ

ตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์เรื่องของเหลวและการหล่อเย็น

ของเหลวในรถโฟล์คลิฟท์ดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่ถ้าปล่อยให้ขาดหรือต่ำไปหน่อยเดียว เครื่องจะร้อนจัด เกียร์ลื่น ไฟชาร์จตก แล้วงานทั้งไลน์หยุดแบบงงๆ ได้เลย เช็คแค่ไม่กี่นาที ก่อนสตาร์ทก็สบายใจทั้งวัน

ใช้เวลา 5 นาทีเช้าๆ เช็คของเหลวให้ครบ ช่วยคุมต้นทุนซ่อมก้อนใหญ่ได้มากกว่าที่คิด

รายการจุดตรวจระดับที่ควรเห็นความถี่ตรวจ
น้ำมันเครื่องก้านวัด (Dipstick)ระหว่าง Min–Maxทุกเช้า
น้ำมันเกียร์ก้านวัด/ช่องมองระดับตามขีดบอกระดับสัปดาห์ละครั้ง หรือก่อนใช้งานหนัก
น้ำในหม้อน้ำ/ถังพักถังพัก/ฝาหม้อน้ำ (ตอนเครื่องเย็น)ระหว่าง Low–Fullทุกเช้า
น้ำกลั่นแบตเตอรี่ขีด Lower–Upper ของแต่ละเซลล์ใกล้ Upper ไม่ล้นทุก 1–2 สัปดาห์

ตรวจระดับน้ำมันเครื่องและน้ำมันเกียร์

  1. จอดรถบนพื้นราบ ดับเครื่อง รอให้น้ำมันไหลกลับอ่าง 3–5 นาที แล้วค่อยดึงก้านวัดออกมาเช็ดและเสียบวัดใหม่ ดูว่าอยู่กลางช่วง Min–Max ถ้าต่ำให้เติมทีละน้อยและใช้เกรดตามคู่มือ หลีกเลี่ยงการผสมหลายเกรดแบบสุ่มๆ
  2. สังเกตสีและกลิ่นน้ำมันเครื่อง: สีน้ำตาลใส = ปกติ, ดำมากจนข้น = ใกล้รอบเปลี่ยน, สีครีม/น้ำนม = อาจมีน้ำเข้าระบบ ควรหยุดใช้และให้ช่างตรวจทันที
  3. น้ำมันเกียร์ ตรวจตามสเปกของรุ่น บางรุ่นเช็คตอนอุ่นเครื่องในตำแหน่งเกียร์ว่าง บางรุ่นเช็คตอนเครื่องเย็น ดูให้ระดับอยู่ในขีดที่ระบุ กลิ่นไหม้แรงหรือมีผงโลหะเกาะแม่เหล็ก คือสัญญาณสึกหรอ เร่งหาสาเหตุไม่ให้ลาม
  4. ไล่หาคราบซึมรอบแคร้ง ฝาครอบวาล์ว ชายเสื้อเกียร์ และซีลเพลา เช็ดให้แห้งแล้วค่อยสังเกตซ้ำ จะเห็นจุดรั่วใหม่ได้ชัด
  5. วางแผนรอบเปลี่ยนด้วยชั่วโมงการทำงานจริง อย่ารออาการเสีย เพราะราคาซ่อมโอเวอร์ฮอลเกียร์กับเครื่องไม่เคยถูก

ตรวจน้ำในหม้อน้ำและถังพักน้ำ

  1. ตรวจตอนเครื่องเย็นเท่านั้น เปิดฝากระโปรงดูถังพัก ระดับควรอยู่ระหว่าง Low–Full ถ้าต่ำ เติมสารหล่อเย็นหรือ คูลแลนต์ ให้ถึงขีดที่กำหนด
  2. เปิดฝาหม้อน้ำเฉพาะตอนเครื่องเย็นมากๆ เพื่อยืนยันว่ามีน้ำเต็มคอหม้อน้ำ ถ้าต่ำ ให้หาที่มาของการรั่วก่อนเติม ไม่อย่างนั้นจะหายไปซ้ำเดิม
  3. มองหาคราบตะกรันเขียว/ขาวตามข้อต่อ ท่อน้ำ ปากปั๊มน้ำ และใต้หม้อน้ำ คราบเหล่านี้มักบอกตำแหน่งซึม ตรวจสภาพฝาหม้อน้ำ ยางซีลแข็งหรือบวมให้เปลี่ยน
  4. ใช้น้ำยาหล่อเย็นตามสเปก อย่าใช้น้ำประปาเพียวๆ เพราะทำให้เกิดสนิมและตะกรันเร็วขึ้น ถ้าจำเป็นต้องผสม ให้ยึดสัดส่วนที่ผู้ผลิตระบุ
  5. เฝ้าดูเกจ์ความร้อนและพัดลม ว่าทำงานตามอุณหภูมิจริง ถ้ารถเริ่มอืดเวลาอุณหภูมิขึ้น อาจมีปัญหาเทอร์โมสตัทหรือพัดลมไม่ทำงานตามรอบ

อย่าถอดฝาหม้อน้ำตอนเครื่องยังร้อนเด็ดขาด

ตรวจน้ำกลั่นแบตเตอรี่และการรั่วซึม

  1. ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบเติมน้ำ ตรวจแต่ละเซลล์ให้ระดับอยู่ระหว่างขีด Lower–Upper เห็นแผ่นธาตุเมื่อก้มหัวมองถือว่าต่ำไป เติมเฉพาะน้ำกลั่นจนใกล้ Upper ห้ามล้น หากเป็นแบบไม่ต้องบำรุงรักษา ให้ดูตาแมว/ไฟบอกสถานะ
  2. เวลาเติมน้ำกลั่น ให้ทำหลังชาร์จหรือหลังใช้งานไม่นาน เพื่อให้ระดับนิ่ง ไม่เสี่ยงล้นตอนชาร์จ พกถุงมือและแว่นตาเสมอ กรดกระเด็นอันตรายมาก
  3. ตรวจขั้วแบตและสาย สังเกตคราบฟองขาวหรือสนิมเขียวๆ ถ้ามี ให้ถอดทำความสะอาดด้วยน้ำผสมผงฟูเล็กน้อย เช็ดแห้ง แล้วทาจาระบีที่ขั้วไว้บางๆ ลดการกัดกร่อน
  4. มองหาคราบหยดใต้ท้องรถทุกเช้า น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันไฮดรอลิก และน้ำหล่อเย็น สีและกลิ่นต่างกัน วางแผ่นรองกระดาษไว้ค้างคืนจะช่วยระบุจุดรั่วได้ง่ายขึ้น
  5. ถ้าพบว่าเติมของเหลวชนิดเดิมซ้ำบ่อยกว่าปกติ แปลว่ามีจุดรั่วซึมเล็กๆ ซ่อนอยู่ จับต้นตอให้เจอก่อนปัญหาลาม เช่น โอริงแข็ง ท่อยางบวม หรือแคลมป์หลวม

ตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ระบบไฟฟ้าและสัญญาณเตือน

การตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ก่อนการใช้งานอย่างถูกวิธี
การตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ก่อนการใช้งานอย่างถูกวิธี

ระบบไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย ถ้าไฟไม่ติดหรือสัญญาณเงียบ รถก็เสี่ยงทันที หลายครั้งปัญหาเล็กๆ อย่างขั้วหลวม หรือสายแตก ทำให้ต้องหยุดงานทั้งไลน์ก็มีเหมือนกัน

ถ้าไฟเตือนใดๆ ติดค้างหลังสตาร์ท หยุดรถและหาสาเหตุทันที

เคล็ดลับสั้นๆ: อย่าบายพาสหรือผูกไฟตรงข้ามผ่าน ฟิวส์ เพราะทำให้เกิดไฟไหม้ได้ง่ายมาก

ตรวจไฟส่องสว่างและไฟเตือนทุกจุด

  • เปิดสวิตช์ ON แล้วตรวจไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟถอยหลัง ไฟเบรก และไฟสัญญาณหมุน (ถ้ามี)
  • มองไฟเตือนบนหน้าปัด: แบตเตอรี่/ชาร์จ อุณหภูมิ น้ำมันเครื่อง เบรกมือ ไฮดรอลิก ฯลฯ ไฟควรติดช่วง ON และดับหลังเครื่องเดินนิ่ง
  • เช็คโคม แตก ขุ่น ขั้วหลวม หรือสายไฟเปลือย จุดยึดต้องแน่นไม่สั่น
  • ลองเปิดไฟในพื้นที่จริง ดูว่าความสว่างพอ และมุมไฟหน้าไม่แยงตาคนอื่น

ตารางสรุปไฟเตือนที่พบประจำ

ไฟเตือนสถานะปกติหลังติดเครื่องถ้าไม่ปกติควรทำอย่างไร
แบตเตอรี่/ชาร์จดับตรวจสายไดชาร์จ คอนเนคเตอร์ และแรงดันชาร์จ
อุณหภูมิไม่ติดจอดพัก ตรวจระดับน้ำหล่อเย็น พัดลม และการรั่ว
น้ำมันเครื่องดับวัดระดับน้ำมัน หาจุดรั่ว และฟังเสียงเครื่องผิดปกติ
เบรกมือดับเมื่อปลดเบรกมือปลดเบรกมือให้สุด หรือเช็คสวิตช์เซ็นเซอร์

ตรวจแตรและอุปกรณ์แจ้งเตือน

  • กดแตรแล้วต้องดังต่อเนื่อง ไม่แหบ ไม่สะดุด ถ้าดีเลย์หรือเสียงเบาให้เช็คสวิตช์ รีเลย์ และสายกราวด์
  • เข้าเกียร์ถอยช้าๆ ฟังเสียงเตือนถอยหลังและสังเกตไฟกระพริบด้านท้าย (ถ้ามี)
  • เช็คไฟเตือนหมุน/สัญญาณ LED บนหลังคา ตัวยึดต้องแน่น สายไม่ถูกหนีบ
  • หากสัญญาณไม่ทำงาน อย่าดัดแปลงเพิ่มเสียงแบบชั่วคราว ควรแก้ที่ต้นเหตุและเปลี่ยนอุปกรณ์ตามสเปกโรงงาน

ตรวจสภาพแบตเตอรี่และขั้วสายไฟ

  • รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้า: ดูแรงดันรวมตามป้ายสเปก ขั้วต้องแน่น ไม่มีคราบขาวหรือเขียว ฉนวนสายไม่แตก และคอนเนคเตอร์ล็อกสนิท
  • เปิดฝาแบตอย่างระวัง ตรวจระดับน้ำกลั่นให้อยู่ระหว่างขีด min–max เช็ดฝุ่นก่อนเปิดฝา ใช้อุปกรณ์ป้องกันตาและมือ
  • ตรวจสายกราวด์ จุดรัดสาย และทางเดินสาย ไม่ให้ขูดกับชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่หรือคม
  • ขณะชาร์จ ให้ทำในที่อากาศถ่ายเทดี หลีกเลี่ยงประกายไฟ และอย่าวางโลหะบนแบตเตอรี่
  • รถเครื่องยนต์: ตรวจแบตสตาร์ท ขั้วแน่น แผ่นรัดไม่โยก และสังเกตสายไปไดชาร์จว่าปลั๊กแน่นดี

เช็ครวดเร็วก่อนออกรถ (ใช้เวลาไม่ถึง 3 นาที)

  1. มองไฟเตือนบนหน้าปัดติด–ดับปกติ 2) กดแตรและลองไฟเลี้ยว/ไฟถอย 3) เปิดไฟหน้า–ท้ายและเดินดูรอบคัน

ตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ระบบควบคุมและการหยุดรถ

ระบบควบคุมต้องนิ่งและหยุดได้ตามสั่ง ไม่งั้นเสี่ยงทั้งคนและของบนงาอยู่ดีๆ ก็ลุ้นกันเหงื่อตกกันทั้งทีม ระบบควบคุมที่ตอบสนองดีคือเส้นบางๆ ระหว่างงานปลอดภัยกับอุบัติเหตุ ใครเริ่มยังไงไม่รู้ ผมเริ่มที่พวงมาลัย เบรค แล้วค่อยไปที่คันควบคุมเสา/งา เท่านี้ก็ครอบคลุมโซนวิกฤตของ การดูแลรถโฟล์คลิฟท์ แล้ว

รายการตรวจเกณฑ์แนะนำต้องแก้ไขเมื่อ
ระยะฟรีพวงมาลัยไม่เกิน 25–30 องศา หรือขอบพวงมาลัยขยับ ~30–50 มม.หมุนแล้วหน่วง/ติดขัด หรือระยะฟรีมากผิดปกติ
เบรคเท้า (ระยะฟรีแป้น)~10–20 มม. และจิกแล้วรถหน่วงทันทีแป้นจม นิ่ม เหยียบลึกแต่รถยังไหล หรือดึงซ้าย/ขวา
เบรคมือล็อกแล้วหยุดนิ่งบนทางลาดประมาณ 15–20%ต้องดึงสุดจนแขนตึงหรือรถยังไหล
คันควบคุมเสา/งาสั่งแล้วตอบสนองทัน ไหลลื่น ไม่มีสะดุดกระตุก หน่วง เสียงดังแปลก หรือ “งาตกเอง”

รู้สึกว่ารถ “ไม่เหมือนเดิม” แค่เสี้ยววินาที ให้หยุดใช้งานและแจ้งซ่อมทันที อย่าฝืนทดสอบซ้ำด้วยน้ำหนักบรรทุก

ทดสอบพวงมาลัยและระยะฟรี

  • สตาร์ทเครื่องในพื้นที่โล่ง หมุนซ้าย-ขวาจนสุดขอบ ดูว่ามีช่วงหมุนฟรีเกินไปหรือไม่ และไม่มีเสียงหอนจากปั๊มพวงมาลัย
  • ปล่อยพวงมาลัยให้รถคลานช้าๆ แล้วแตะหมุนทีละนิด รถควรเปลี่ยนทิศทันใจ ไม่ต้องรอหลายองศา
  • สังเกตแรงต้าน: เบา/หนักไม่สม่ำเสมออาจเป็นสลักยอย หลวม คอม้า หรือแรงดันไฮดรอลิกตก
  • ตรวจรอยซึมที่ข้อต่อท่อพวงมาลัยเพาเวอร์ และโคนกระบอก ถ้าชุ่มๆ มีโอกาสเสื่อมแล้ว

ทดสอบเบรคมือและเบรคเท้า

  • เหยียบเบรคเท้าค้าง: ระยะฟรีควรสั้นและ “กัด” ทันที ถ้าต้องเหยียบลึกผิดปกติ ให้สงสัยผ้าเบรค/ระบบไฮดรอลิก
  • ทดสอบหยุดตรง: เหยียบเบรคที่ความเร็วต่ำ รถต้องไม่ดึงไปซ้ายหรือขวา ถ้าดึง แสดงว่าผ้า/กระบอกคนละสภาพ
  • ลองจอดทางลาด 15–20% ดึงเบรคมือ รถต้องหยุดนิ่ง ถ้าไหลแม้ดึงเต็มที่ ให้ปรับตั้งสายหรือตรวจผ้าเบรคมือ
  • ฟังเสียงเสียดสี/ขูดตอนเบรค นั่นคือสัญญาณผ้าบางหรือมีสิ่งแปลกปลอมในดรัม/จาน

ทดสอบคันควบคุมเสาและงายก

  • ยก-ลดเสาให้สุดช่วง ดูความต่อเนื่อง ห้ามมีจังหวะ “สะอึก” หรือหน่วงจนรถเอนไม่มั่นคง
  • ลองคว่ำ/หงายงาแบบสั้นๆ สังเกตการตอบสนองและเสียงวาล์ว เปิด-ปิดควรเนียน ไม่กระแทก
  • ทดสอบ “ค้างตำแหน่ง”: ยกงาขึ้นเล็กน้อยโดยไม่บรรทุก ทิ้งไว้สักครู่ หากงาค่อยๆ ลดลงเอง แปลว่ามีการรั่วภายในวาล์ว/กระบอก
  • ตรวจรอยซึมน้ำมันที่ฐานกระบอก เสา และข้อต่อท่อ หากมีคราบใหม่ๆ ให้หยุดใช้ก่อนหาสาเหตุ

เคล็ดลัดเล็กๆ: ทดสอบทั้งหมดควรทำแบบไม่มีโหลด คนอื่นอยู่ห่างจากหน้ารถ และตั้งรอบเครื่องนิ่งๆ ไม่เร่งไม่ลด จะฟังอาการได้ชัดกว่า

ตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ล้อและยางเพื่อการยึดเกาะ

ยางคือจุดสัมผัสเดียวระหว่างรถกับพื้นโรงงาน ถ้าพลาดนิดเดียว งานหยุดทั้งไลน์ได้ง่ายๆ ยางที่พร้อมคือฐานของการทรงตัว การยึดเกาะ และการเบรกที่สั้นลง

เช็คยางทุกต้นกะ ใช้เวลาไม่ถึง 2 นาที แต่ช่วยลดโอกาสหยุดงานยาวทั้งวันได้จริง

ตรวจสภาพยางหน้าและยางหลัง

  • ส่องรอบวง: หาอาการบวม แตก ร้าว บาด คมฝัง และเศษวัสดุค้างในดอกยาง/บ่าไหล่
  • เช็คการสึก: สึกกินข้างเดียวมักบอกศูนย์ล้อเพี้ยนหรือโหลดเกิน ตรวจทั้งหน้าและหลัง เพราะหลังเป็นล้อเลี้ยว สึกไว
  • เส้นบอกสึก/ขีดความปลอดภัย: ถ้าถึงเส้นแล้วให้เปลี่ยนทันที โดยเฉพาะยางตันที่เส้นผ่านศูนย์กลางลดลงมาก
  • หน้ายางร้อนผิดปกติหรือมีกลิ่นไหม้ระหว่างกะงาน ให้หยุดตรวจ อาจมีแรงดันต่ำหรือบรรทุกเกิน
  • ถ้าเจอรอยฉีกลึกถึงชั้นผ้าใบ หรือชิ้นส่วนยางหลุดเป็นแผ่น ให้เลิกใช้คันนั้นทันทีและเปลี่ยนยาง

ตรวจแรงดันลมยางตามสเปก

  • วัดขณะยางเย็นด้วยเกจที่เทียบศูนย์แล้ว และบันทึกค่าหน้า/หลังแยกกัน
  • ยางลมควรใกล้ค่าคู่มือ ไม่เบี่ยงเกินราว 5–10% หากต่ำไป รถจะเลื้อย เลี้ยวยาก และยางร้อนจัด หากสูงไป หน้ายางแข็ง เกาะน้อย กระแทกช่วงล่าง
  • ยางตันไม่มีแรงดันให้วัด ให้ยึดตามเส้นบอกสึก รอยแตก รอยบิ่น และขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่เหลือ

ตารางสรุป (ใช้เป็นแนวทาง – อ้างอิงคู่มือรุ่นรถเสมอ)

รายการวิธีเช็คย่อเกณฑ์อ้างอิงสัญญาณผิดปกติ
ยางลมหน้าวัดเกจยางเย็นใกล้ค่าคู่มือ ±5–10%พวงมาลัยหนัก/รถดึงข้าง, ยางร้อนผิดปกติ
ยางลมหลังวัดเกจยางเย็นใกล้ค่าคู่มือ ±5–10%เลี้ยวหน่วง, เสียงครางจากหน้ายาง
ยางตัน (หน้า/หลัง)ดูเส้นบอกสึกและรอยแตกเปลี่ยนเมื่อถึงขีดบอกสึกหรือเส้นผ่านศูนย์กลางต่ำกว่าค่ากำหนดกระแทกแข็ง, สั่นทั้งคัน, บิ่นหลุดเป็นชิ้น

ขั้นตอนเร็ว 5 ข้อ

  1. จอดพื้นเรียบ ดึงเบรกมือ 2) ตรวจด้วยตา 360° 3) วัดแรงดัน (ยางลม) 4) เป่าหรือปล่อยลมให้ได้ค่าตามคู่มือ 5) บันทึกและติดสติ๊กเกอร์วันตรวจ

ตรวจยึดแน่นของนอตล้อและรอยฉีกขาด

  • มองหานอตหาย นอตคลาย เศษสนิม หรือคราบผงโลหะรอบรูนอตและดุมล้อ
  • ใช้ประแจปอนด์ขันตามค่า ทอร์ก ผู้ผลิต และไล่ขันแบบสลับดาว เพื่อลดการบิดหน้าแปลน
  • ทำตำหนิสีกากบาทบนหัวนอต/กระทะล้อ ถ้าเส้นเคลื่อนคือเริ่มคลาย ง่ายต่อการสังเกตระหว่างกะ
  • เขย่าล้อ (เมื่อยกรถปลอดภัย) เพื่อตรวจระยะหลวมของลูกปืนล้อ ถ้ามีระยะหรือเสียงดัง ให้หยุดใช้และเรียกช่าง
  • มองหารอยร้าวที่กระทะล้อ บริเวณรูนอต และคราบน้ำมันที่ดุม ซึ่งบอกซีลดุมรั่ว ต้องซ่อมก่อนวิ่งโหลด

ขั้นตอนหลังใช้งานและการบำรุงรักษาหลังการตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์

หลังยกของทั้งวัน รถก็เหนื่อยไม่ต่างจากคน ช่วงไม่กี่นาทีหลังจอดนี่แหละที่คุ้มค่ามากสุด เพราะถ้าปล่อยผ่าน วันถัดมาอาจเริ่มด้วยคราบน้ำมันหยดและงานสะดุดตั้งแต่เช้าได้ง่ายๆ

เก็บงานหลังเลิกกะให้เรียบร้อย รถจะพร้อมใช้งานวันพรุ่งนี้แบบไม่ต้องลุ้น

พบคราบหรือกลิ่นผิดปกติ ให้ติดป้ายห้ามใช้ชั่วคราว แล้วแจ้งช่างทันที อย่าฝืนขับต่อ

ปรับงายกให้อยู่แนวราบและล็อคความปลอดภัย

  • เลือกพื้นที่จอดที่พื้นเรียบ ไม่บังทางเดินและทางโหลดสินค้า
  • ลดงาทั้งสองข้างแตะพื้น ปรับให้งาขนานพื้นเท่ากัน ไม่ลอย ไม่จิ้ม
  • ตั้งเสาให้อยู่ตำแหน่งกลาง (ไม่คว่ำ-ไม่หงาย) เพื่อไม่ให้รถทรุดตัวเอง
  • กางระยะงาให้เหมาะกับงานวันถัดไป แล้วล็อกสลักงา (ถ้ามี)
  • เข้าเกียร์ว่าง ดึงเบรกมือ เตะตัวหนุนล้อเมื่อจอดบนพื้นเอียง
  • ปล่อยคันควบคุมไฮดรอลิกไว้กลาง ตรวจว่าไม่มีการค่อยๆ ยุบ

ข้อที่พลาดบ่อย: จอดทิ้ง “งาลอยพื้น” 1–2 ซม. เสี่ยงให้คนสะดุดหรือเกี่ยวรองเท้าได้ง่ายมาก

ปล่อยเดินเบาก่อนดับเครื่องและชาร์จแบตเตอรี่

  • เครื่องยนต์ดีเซล/แก๊ส: ปล่อยเครื่องไว้ที่รอบ เดินเบา 2–3 นาที ช่วยลดอุณหภูมิระบบน้ำและเทอร์โบ จากนั้นปิดไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าก่อนดับเครื่อง (แก๊สให้ปิดวาล์วถังด้วย)
  • รถไฟฟ้า: จอด ระบายอากาศดี ปลดขั้วโหลด แล้วเสียบชาร์จด้วยหัวชาร์จที่ไม่ชำรุด หลีกเลี่ยงประกายไฟและการสูบบุหรี่ใกล้จุดชาร์จ
  • แบตเตอรี่กรดตะกั่ว: เช็ดขั้วให้สะอาด ตรวจระดับน้ำกลั่นและเติมหลังชาร์จให้พ้นแผ่นธาตุเล็กน้อย ไม่ล้นฝา สวมแว่นและถุงมือทุกครั้ง
  • แบตเตอรี่ลิเทียม: ชาร์จตามคู่มือ หลีกเลี่ยงการใช้หัวชาร์จผิดสเปก ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น

ตารางย่อกิจกรรมหลังใช้งานและรอบเวลา

กิจกรรมค่า/รอบเวลา
เดินเบา (เครื่องยนต์)2–3 นาที
ชาร์จเต็มรอบ (แบตฯ กรดตะกั่ว)เมื่อไฟเตือนหรือต่ำกว่า ~30%
Equalize charge (กรดตะกั่ว)1 ครั้ง/สัปดาห์ หรืออ้างอิงคู่มือ
ตรวจ-เติมน้ำกลั่นหลังชาร์จ ให้พ้นแผ่นธาตุเล็กน้อย
เช็ดขั้ว/สายชาร์จรายสัปดาห์ หรือเมื่อเห็นคราบเกลือ

หล่อลื่นจุดสำคัญและตรวจการรั่วซึม

  • ทำความสะอาดก่อนหล่อลื่น: เช็ดฝุ่น ทราย และคราบเก่าบริเวณรางเสา ลูกกลิ้ง พิน และโซ่ เพื่อให้สารหล่อลื่นเกาะได้ดี
  • จุดที่ควรหล่อลื่นเป็นประจำ:
    • โซ่ยก: สเปรย์โซ่ชนิดไม่ฟุ้ง ละอองเกาะดี ไม่ไหลย้อน
    • รางเลื่อน/ลูกกลิ้งเสา: จาระบีบางๆ ลดเสียงเสียดทาน
    • พินและบูชกระบอกคว่ำ-หงาย, คันโยก, คานบังคับเลี้ยว: จาระบี NLGI #2
  • ตรวจการรั่วซึมรอบคันใน 3 นาที:
    • ใต้ท้องรถและรอยต่อสายไฮดรอลิก/ซีลกระบอก
    • ปลั๊กถ่ายน้ำมันเครื่อง/เกียร์/เฟืองท้าย
    • หม้อน้ำ ท่อยาง และบริเวณฝาหม้อน้ำ
  • แยกชนิดคราบแบบเร็ว: น้ำมันไฮดรอลิกสีอำพันลื่นมือ, น้ำมันเครื่องเข้มข้น, น้ำหล่อเย็นมีสีเขียว/ชมพูมีกลิ่นหวาน, น้ำมันเกียร์กลิ่นแรงเฉพาะตัว
  • แนวทางปฏิบัติเมื่อพบคราบ: ถ้าหยดรวมใหญ่กว่าเหรียญ 5 บาทให้หยุดใช้ ติดป้ายห้ามใช้งาน และบันทึกรายการแจ้งซ่อม

ตารางจุดหล่อลื่นและรอบเวลาโดยย่อ

จุดชนิดหล่อลื่นรอบเวลาแนะนำ
โซ่ยกสเปรย์โซ่รายวัน/ทุกกะ
พิน-บูชกระบอกคว่ำ-หงายจาระบี NLGI #2ทุก 50–100 ชม.
รางเลื่อน/ลูกกลิ้งเสาจาระบีบางทุก 100 ชม.
คานบังคับเลี้ยว/เพลากลางจาระบีทุก 250 ชม.

สรุปสั้นๆ: จอดให้ถูก ลดงาให้นิ่ง ปล่อยเครื่องคลายร้อน ชาร์จอย่างถูกวิธี และหล่อลื่นพร้อมเช็กคราบรั่ว แค่นี้ก็ลดงานซ่อมแบบไม่ต้องเดาในวันถัดไปแล้ว

สรุป: การตรวจเช็ครถโฟล์คลิฟท์ก่อนใช้งาน

การตรวจเช็คสภาพรถโฟล์คลิฟท์ก่อนใช้งานทุกครั้งเป็นเรื่องสำคัญมากเลยนะ เหมือนเราต้องเช็คความพร้อมของตัวเองก่อนไปทำงานนั่นแหละครับ การทำตามขั้นตอนที่เราแนะนำไป ไม่ว่าจะเป็นการดูสภาพงา, ระบบไฟ, ระดับของเหลวต่างๆ หรือแม้กระทั่งลมยาง มันช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจคาดไม่ถึงได้เยอะเลยนะ บางทีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามองข้ามไป อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ได้ การใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ นอกจากจะช่วยให้การทำงานราบรื่นแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของรถโฟล์คลิฟท์ของเราให้ยาวนานขึ้นด้วยนะ ลองเอาไปปรับใช้กันดูครับ เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในที่ทำงาน

Scroll to Top