การดูแลรักษา ชิ้นส่วนรถยก ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอเป็นเรื่องสำคัญมากเลยนะครับ ไม่ใช่แค่ช่วยให้รถทำงานได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราทำงานได้อย่างปลอดภัย และยืดอายุการใช้งานของรถไปได้อีกนานเลยทีเดียว เพราะรถยกแต่ละคันก็มีส่วนประกอบที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษแตกต่างกันไป วันนี้เราจะมาดูกันว่ามี ชิ้นส่วนรถยก ส่วนไหนบ้างที่ควรจะหมั่นตรวจสอบเป็นประจำครับ
ข้อควรรู้เกี่ยวกับชิ้นส่วนรถยกที่ต้องตรวจสอบ
- หมั่นสังเกตสภาพงาและโซ่ยก รวมถึงลูกกลิ้งต่างๆ ว่ามีรอยผิดปกติ หรือความหย่อนคลายหรือไม่
- ตรวจเช็คน้ำมันไฮดรอลิกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และสังเกตรอยรั่วซึมตามจุดต่างๆ
- ให้ความสำคัญกับสภาพยาง ล้อ และระบบเบรก รวมถึงพวงมาลัย เพื่อความปลอดภัยในการควบคุม
- สำหรับรถยกไฟฟ้า ควรตรวจสอบแบตเตอรี่และระบบไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ ส่วนรถน้ำมันก็ต้องดูเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง
- อย่าลืมอุปกรณ์ความปลอดภัยอื่นๆ เช่น ไฟสัญญาณ แตร และระบบควบคุมต่างๆ รวมถึงส่วนที่อาจถูกมองข้ามอย่างซีลหรือยางกันกระแทก
ชิ้นส่วนรถยกบริเวณงาและโซ่ที่ต้องจับตา

เวลารถยกเริ่มทำงานหนักๆ จุดที่รับแรงจริงๆ คือบริเวณงา เสา และโซ่ยก ทั้งหมดพึ่งกันอยู่เงียบๆ แต่ถ้าพลาดแม้แต่นิดเดียว งานทั้งคลังสะดุดทันที และอาจพาให้ของตกหรือเสียรูปได้แบบไม่น่ามองเลยด้วยซ้ำ
งาและโซ่อยู่ในเส้นทางรับน้ำหนักโดยตรง ใครดูแลดี ช่วยลดความเสี่ยงงานหยุดและของตกหล่นได้มาก
ก่อนจะปรับหรือแตะต้องส่วนยก ให้ลดงาลงชิดพื้น ปลดภาระทั้งหมด และดับเครื่องเสมอ ปลอดภัยไว้ก่อน
ตรวจรอยคดงอ รอยร้าว และความหนาของงา
ลองตั้งรถบนพื้นเรียบ แล้วทำตามนี้ทีละข้อแบบใจเย็นๆ:
- ทำความสะอาดงา โดยเฉพาะบริเวณคอและส้นงา (จุดงอได้ง่าย)
- ก้มมองแนวตรงของงาจากด้านข้างและด้านบน ถ้าเห็นโก่งหรือบิดชัดเจน ให้หยุดใช้ทันที
- มองหารอยร้าวเล็กๆ ที่คอ-แผงงา ส้นงา และหูแขวน ถ้ามีน้ำมันไหลซึมหรือฝุ่นเกาะเป็นเส้น ให้สงสัยรอยแตกร้าว
- วัดความหนาบริเวณส้นงา เทียบกับความหนาจากโรงงาน/สเปก ถ้าบางลงมากจนเหลือราว 90% หรือน้อยกว่า ให้วางแผนเปลี่ยน
- ตรวจสลักล็อกงา หูแขวน และร่องเกี่ยวว่าขันแน่น ไม่โยกคลอน
- เทียบระดับปลายงาซ้าย-ขวา ควรใกล้เคียงกัน ถ้าต่างกันมากให้ตรวจคานรับงาและตัวล็อก
เคล็ดลับสั้นๆ: งาห้ามซ่อมเชื่อมดัดแบบบ้านๆ เพราะความแข็งแรงจะไม่เหมือนเดิม เปลี่ยนทั้งคู่ให้เข้าชุดไปเลยดีกว่า
วัดความตึงและระยะยืดของโซ่ยก
โซ่ยก จะสึกช้าๆ จนคนไม่ทันสังเกต เพราะงั้นต้องมีขั้นตอนชัดเจน:
- ลดงาลงสุดและปลดโหลด ตรวจคราบสนิม ข้อตาย และข้อที่บวมผิดรูป
- เช็ดโซ่ให้สะอาดแล้ววัด “ความยาวช่วงตัวอย่าง” (เช่น 10–20 ข้อ) เทียบกับค่าจากคู่มือ
- ถ้าระยะยืดรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 2–3% ให้เปลี่ยนทั้งเส้น รวมถึงพินและตัวยึด ไม่สลับซ้ายขวา
- ปรับความตึงให้สมดุลซ้าย-ขวา เล็งให้แผงงาอยู่กึ่งกลาง ไม่เอียง
- หล่อลื่นด้วยน้ำมันซึมเข้าโซ่ หลีกเลี่ยงจาระบีข้น เพราะกักฝุ่นแล้วสึกเร็ว
ตารางเกณฑ์ตัวเลขที่ใช้บ่อย (ยึดตามคู่มือรุ่นเป็นหลัก)
รายการ | วิธีประเมิน | เกณฑ์ทั่วไปในการตัดสินใจ |
---|---|---|
ความหนาส้นงา | วัดด้วยเวอร์เนียร์ที่ส้นงา | เหลือน้อยกว่าประมาณ 90% ของความหนาเดิมให้วางแผนเปลี่ยน |
การยืดของโซ่ยก | วัดความยาวช่วงตัวอย่างหลายข้อโซ่ | ยืดรวมราว ≥2–3% เปลี่ยนโซ่ทั้งชุดพร้อมพิน |
หมายเหตุ: ตัวเลขคือแนวทาง ใช้ค่าทางการจากผู้ผลิตเป็นหลักเสมอ
ตรวจลูกกลิ้งเสา สลัก และตัวยึดให้อยู่แน่น
ส่วนนี้ถ้าเริ่มมีเสียงหอนหรือสั่น ให้รีบเช็กทันที:
- ตรวจลูกกลิ้งเสา หา “รอยแบน” ผิวแตก รอยกินขอบ และการหมุนติดขัด
- จับเขย่าคานยกและแผงงา เช็กระยะคลอน ถ้ารู้สึกหลวมมากกว่าปกติให้ตรวจบูชและแผ่นรองสึก
- ตรวจสลักและพินทุกจุด (รวมถึงจุดยึดโซ่) ว่ายังแน่น ไม่มีรอยเลื่อนหรือผงโลหะ
- มองหารอยรั่วของน้ำมันบนรางเสาและใกล้ลูกกลิ้ง ถ้ามีคราบมันผิดที่ ให้ตามหาต้นตอ
- อัดจาระบี/หยอดน้ำมันตามคู่มือ อย่าอัดมากจนกระเด็นใส่ผิวเบรกหรือล้อ
- ทดสอบเลื่อนขึ้น-ลงช้าๆ ฟังเสียง ถ้าสะดุดเป็นจังหวะ มักชี้ไปที่ลูกกลิ้งหรือรางสึกไม่สม่ำเสมอ
ถ้าดูแลสามจุดนี้ทุกกะสั้นๆ ไม่กี่นาที รถยกจะทำงานนิ่งขึ้นมาก และที่สำคัญคือคนขับมั่นใจขึ้นด้วย เพราะรู้ว่าของที่อยู่บนงา “ไปถึงปลายทางได้ปลอดภัยกว่าเดิม”
ชิ้นส่วนรถยกระบบไฮดรอลิกและซีลกันรั่ว
ระบบไฮดรอลิกของรถยกทำงานหนักแทบทั้งวัน ทั้งยก เอียง และเลื่อน อาการเล็กๆ อย่างน้ำมันขุ่นหรือมีฟอง บางทีเรามองข้ามไป แล้วสุดท้ายต้องจอดนานกว่าที่คิด น้ำมันสะอาดและไม่มีอากาศคือหัวใจของระบบไฮดรอลิกที่เชื่อถือได้
เคล็ดลับหน้างาน: ตรวจตอนเสาและงาวางต่ำสุด ดับเครื่อง ปล่อยแรงดันก่อนเสมอ จะเห็นอาการจริงและปลอดภัยกว่า
ตรวจระดับและความสะอาดของน้ำมันไฮดรอลิก
- ดูระดับที่ก้านวัด/กระจกสังเกต ควรอยู่ในช่วงที่ผู้ผลิตกำหนด ไม่ต่ำหรือสูงเกินไป เพราะสูงเกินไปก็เกิดฟองได้
- สีควรใสออกอำพัน ไม่ขุ่น ไม่เป็นน้ำนม และไม่มีกลิ่นไหม้ หากขุ่นมีโอกาสมีน้ำปน
- สังเกตฟองอากาศหลังสตาร์ท ถ้าฟองไม่ยุบหรือได้ยินเสียงดูดลม อาจเกิดภาวะ คาวิเทชัน
- ลองถูน้ำมันที่นิ้ว หากสากๆ อาจมีผงโลหะจากปั๊มหรือกระบอก ควรส่งตรวจเพิ่ม
- เปลี่ยนไส้กรองตามคู่มือ (โดยมาก 500–1,000 ชม. หรือ 6–12 เดือน) และล้างถังเมื่อมีการปนเปื้อนหนัก
ตารางสั้นๆ ช่วยแยกอาการน้ำมัน
อาการน้ำมัน | สาเหตุที่พบบ่อย | แนวทางแก้ไข |
---|---|---|
ขุ่น/น้ำนม | น้ำเข้าระบบ ฝาถังรั่ว ซีลหายใจเสีย | ระบายน้ำ ล้างถัง เปลี่ยนไส้กรอง ตรวจฝาถังและวาล์วระบาย |
ดำมีกลิ่นไหม้ | ความร้อนสูง โหลดหนักต่อเนื่อง | เช็กพัดลม/คูลเลอร์ ลดโหลด ปรับรอบทำงาน เปลี่ยนน้ำมัน |
มีฟองยาวนาน | ระดับต่ำ ดูดอากาศทางข้อต่อ | เติมระดับ ไล่อากาศ ขันข้อต่อ เปลี่ยนท่อที่กรอบ |
ตรวจรอยรั่วที่ปั๊ม กระบอก และข้อต่อสาย
- เริ่มจากทำความสะอาดจุดเช็คให้แห้ง แล้วสตาร์ทดูว่าเริ่มซึมตรงไหน จะจับต้นตอได้ไวกว่า
- จุดเสี่ยง: ซีลเพลาปั๊ม, ปลายก้านกระบอก, ข้อต่อหน้าแปลน, โอริงหัวสาย, ท่อที่เสียดสีกับโครง
- ใช้กระดาษทิชชู่แตะหาคราบ ไม่ใช้มือเปล่ากับชิ้นส่วนที่หมุนหรือร้อน
- ขันข้อต่อด้วยแรงบิดตามสเปก ห้าม “อัดให้แน่นสุดแรง” เพราะโอริงจะเสียรูปและรั่วเร็ว
- หากก้านกระบอกเป็นรอย ควรเจียรซ่อมหรือเปลี่ยน ไม่งั้นซีลใหม่ก็รั่วซ้ำ
- เปลี่ยนซีล/โอริงเป็นเกรดทนน้ำมันและอุณหภูมิ และอย่าลืมหล่อลื่นซีลก่อนประกอบ
- ความปลอดภัย: ลดแรงดันระบบทุกครั้งก่อนคลายสาย ห้ามตรวจรั่วด้วยมือในขณะระบบมีแรงดัน
ทดสอบการยก เอียง และเลื่อนว่าราบรื่น
- ที่รอบเดินเบาและรอบทำงาน ลองยกพาเลตน้ำหนักตามสเปก ดูว่าเริ่มยกได้ทันทีหรือมีอาการหน่วง
- ทดสอบค้างงาเหนือพื้นเล็กน้อย 3–5 นาที เฝ้าดูการตกเอง ถ้าตกชัดเจน ระบบกันรั่วของวาล์ว/กระบอกอาจมีปัญหา
- เอียงเสาไปหน้า–หลัง ฟังเสียงปั๊มหอนหรือแรงสั่นที่ก้าน หากสั่นเป็นจังหวะ อาจมีอากาศหรือวาล์วค้าง
- เลื่อนซ้าย–ขวา (ถ้ามีไซด์ชิฟท์) ต้องเคลื่อนที่เรียบ ความเร็วคงที่ ไม่กระตุกตอนเริ่มและหยุด
- จับอุณหภูมิท่อกลับและถัง คนงานมักใช้ “แตะแล้วร้อนมือ” เป็นสัญญาณเตือน ถ้าร้อนผิดปกติให้หยุดตรวจ
- เปรียบเทียบความเร็วการทำงานกับก่อนหน้า ถ้าช้าลงพร้อมเสียงดูดลม ให้กลับไปไล่อากาศและเช็ครอยรั่วเล็กๆ
ชิ้นส่วนรถยกล้อ ยาง และเพลาขับเพื่อการทรงตัว

การทรงตัวของรถยกไม่ได้ขึ้นกับงาหรือเสาอย่างเดียว ล้อ ยาง และเพลาขับคือฐานทั้งหมดของน้ำหนักที่แบกอยู่ ถ้าส่วนนี้เริ่มหลวม เสียงหอน หรือยางสึกประหลาดๆ รถจะกินทาง หยุดยาก และเสี่ยงคว่ำได้ง่าย ผมเคยคิดว่าแค่เติมลมพอ แต่พอปล่อยไม่เท่ากัน ล้อหลังก็ส่ายทั้งวัน งานช้าไปอีกครึ่งคิวเลย
เห็นยางบวมเป็นไข่ ร้าวลึก หรือมีลวดโผล่ ให้จอดรถทันทีแล้วเรียกช่าง อย่าฝืนวิ่งต่อ
หากพบยางบวม ร้าวลึก หรือดุมล้อหลวม ให้หยุดใช้งานทันทีและแจ้งช่างตรวจสอบ
ตรวจแรงดันและรอยบวมร้าวของยาง
- แยกชนิดยางก่อนตรวจ: ยางลม (pneumatic) ต้องวัดแรงดันตามสเปกผู้ผลิต ส่วนยางตัน (press-on/solid) ไม่มีแรงดันแต่ต้องดูการแตก ล่อน และความกลมของหน้ายาง
- วัดแรงดันตอนยางเย็น ใช้เกจ์ที่เทียบศูนย์แล้ว และเทียบกับค่าบนสติ๊กเกอร์รถหรือคู่มือ อย่าคาดเดา
- ไล่ดูทั้งหน้ายางและแก้มยาง: รอยบวม ร้าว บาดลึก เศษโลหะฝัง ถ้าลึกถึงชั้นผ้าใบคือเปลี่ยนทันที
- เช็กการสึกหรอ: กลางสึกมากไปมักแรงดันเกิน ขอบสึกหนักคือแรงดันต่ำ สึกด้านใดด้านหนึ่งอาจเกี่ยวกับแนวศูนย์หรือโหลด偏ข้าง
- ตรวจกระทะล้อ: ขอบคม บุบ หรือรอยร้าว จะกินยางและทำให้ยางนั่งไม่สนิท
รายการเร็วที่บอกว่ายางถึงเวลาเปลี่ยน
- ลวดโครงยางโผล่ 2) มีรอยบวมไข่ 3) ดอกยางต่ำกว่าขีดเตือนของผู้ผลิต 4) สั่นสะท้านตามความเร็ว 5) มีกลิ่นยางไหม้หลังใช้งานระยะสั้น
เช็กน็อตดุม ลูกปืนล้อ และคานเพลาหลัง
- น็อตดุม: ตรวจทุกตัวว่าแน่นเสมอ ใช้วิธีไขว้เมื่อขัน และอ้างอิงค่าแรงขันจากคู่มือ ติดมาร์กสีไว้ช่วยเห็นการคลายตัว
- ทดสอบคลอนลูกปืน: ยกรถอย่างปลอดภัยแล้วโยกล้อที่ตำแหน่ง 12–6 และ 3–9 นาฬิกา ถ้ามีระยะฟรีหรือเสียงกึกกัก แปลว่าลูกปืนหลวม ดุมสึก หรือคิงพินมีปัญหา
- ฟังเสียงหมุน: หมุนล้อด้วยมือ ถ้ามีเสียงหอนหรือครืดคราด ลูกปืนอาจสึกหรือซีลแตก น้ำมันจาระบีหาย
- รอยรั่วและร้าว: มองหาคราบน้ำมันที่ซีลดุม/ซีลเพลา รอยร้าวบนคานเพลาหลัง จุดเชื่อม U-bolt และบูชต่างๆ หากมีสนิมกินลึกหรือร้าวต้องหยุดใช้งาน
- กระทะและดิสก์/ดรัม: เช็กคด บิ่น และคราบร่องรอยเสียดสีกับฝุ่นโลหะ ซึ่งมักชี้ปัญหาลูกปืนหรือผ้าเบรกติด
ข้อควรระวังสั้นๆ
- อย่าขันน็อตดุมตอนล้อร้อนจัด 2) ใช้แท่นค้ำ/ขาตั้ง ไม่พึ่งแม่แรงอย่างเดียว 3) ทำความสะอาดเกลียวและหน้าแปลนก่อนประกอบทุกครั้ง
ประเมินแนวศูนย์และการสึกหรอไม่เท่ากัน
- ตั้งรถบนพื้นเรียบ โหลดว่าง วัดระยะศูนย์ล้อหน้า/หลัง เทียบซ้าย–ขวา เบี่ยงเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ยางสึกไวและพวงมาลัยเพี้ยน
- ตรวจระยะฟรีพวงมาลัย ปลายคันชัก และกระบอกบังคับเลี้ยว ถ้ามีระยะหลวม ระบบบังคับเลี้ยวจะ “ตามไม่ทัน” และกินยางด้านหนึ่ง
- ทำให้แรงดันยางซ้าย–ขวาเท่ากันก่อนประเมิน ไม่งั้นผลเพี้ยนง่าย
- ทบทวนรูปแบบงาน: เลี้ยวซ้ำทิศเดิม วิ่งบนพื้นขรุขระ หรือลากพาเลทน้ำหนักเกินบ่อยๆ มักทำให้สึกข้างเดียว
ตารางอ่านลายยางสึกหรออย่างเร็ว
ลักษณะการสึก | สาเหตุที่พบบ่อย | แนวแก้เบื้องต้น |
---|---|---|
สึกตรงกลางมาก | แรงดันยางสูงเกิน | ปรับแรงดันตามคู่มือ ตรวจเกจ์วัด |
สึกที่ไหล่ทั้งสอง | แรงดันต่ำ | เติมลม ตรวจรั่วซึมที่จุ๊บและขอบล้อ |
สึกเฉพาะซ้ายหรือขวา | แนวศูนย์เพี้ยน คาน/ล้อคด | ตรวจแนวศูนย์และค่า โท-อิน ตรวจคานและกระทะล้อ |
สึกเป็นคลื่น/บั้ง | ลูกปืนหลวม ดุมคด โช้ค/บูชสึก | ตั้งลูกปืน เปลี่ยนดุม/บูช ตรวจยึดคาน |
มีรอยบั้งเป็นวง | ผ้าเบรกติดข้างเดียว | ตรวจซ่อมเบรกและสปริงกลับตำแหน่ง |
ทิปสั้นๆ สำหรับหน้างาน
- ถ่ายรูปหน้ายางทุก 2 สัปดาห์ เทียบลายสึกเห็นชัด 2) จัดรอบสลับตำแหน่งล้อ (ถ้าสเปกรถอนุญาต) เพื่อลดสึกข้างเดียว 3) ใช้แรงบิดน็อตตามคู่มือหลังซ่อมทุกครั้งเพื่อป้องกันคลายตัว
ชิ้นส่วนรถยกเบรกและพวงมาลัยเพื่อการควบคุมที่ปลอดภัย

เบรกกับพวงมาลัยคือคู่หูที่ทำให้รถยกหยุดตรงตำแหน่งและเลี้ยวได้ตามใจสั่ง ถ้าพลาดนิดเดียว งานก็สะดุด แถมเสี่ยงชนชั้นวางหรือสินค้าเสียหาย พูดตรง ๆ ถ้าเบรกไม่ชัวร์ ใครก็ขับไม่สบายใจ
เบรกและพวงมาลัยที่ไม่พร้อมคือสาเหตุอุบัติเหตุที่เจอในคลังบ่อยกว่าที่คิด
ตรวจระดับน้ำมันเบรกและระยะเหยียบ
ดูง่ายแต่หลายคนมองข้าม พอเบรกนิ่มค่อยรู้ตัว ทีนี้งานหยุดทั้งไลน์
- ตรวจอ่างพักน้ำมันเบรก: ระดับต้องอยู่ระหว่าง MIN–MAX อย่าให้ต่ำกว่าขีด และอย่าเติมเกินจนล้น
- สภาพน้ำมัน: ใสออกเหลืองอ่อน ถือว่าใช้ได้ ถ้าเข้ม ขุ่น หรือมีกลิ่นไหม้ ให้วางแผนถ่ายเปลี่ยน
- ชนิดน้ำมัน: ใช้ตามที่ระบุในคู่มือ (เช่น DOT 3/4) ห้ามผสมข้ามชนิด
- รอยซึม: ไล่ดูแม่ปั๊ม ท่อ สาย ข้อต่อ และดุมล้อ ถ้ามีคราบชื้น ๆ ให้แก้ที่ต้นเหตุ
- วัดระยะเหยียบ (ฟรีเพลย์): กดแป้นเบรกเบา ๆ จนเริ่มจับ ระยะที่กดลงได้ก่อนเบรกเริ่มทำงานควรสั้นและคงที่ ถ้ายาวขึ้นเรื่อย ๆ มีโอกาสลมเข้าหรือผ้าเบรกสึก
- อาการผิดปกติที่พบบ่อย: แป้นนิ่มจม (มีอากาศในไลน์/รั่ว), แป้นแข็งมาก (ท่ออุดตัน), รถดึงซ้าย–ขวา (ลูกสูบ/ผ้าเบรกสึกไม่เท่ากัน)
ทดสอบเบรกเท้า เบรกจอด และแรงในการหยุด
ทดสอบในพื้นที่โล่ง พื้นเรียบ และปลอดภัย ทำทีละขั้น ไม่ต้องรีบ
- วิ่งเปล่าที่ประมาณ 5 กม./ชม. เหยียบเบรกต่อเนื่อง รถควรหยุดตรง ไม่ดึงข้าง ไม่สะท้านที่แป้น
- ทำซ้ำที่ 10 กม./ชม. ฟังเสียงเสียดสีหรือวี๊ด ๆ ซึ่งบ่งบอกผ้าเบรกบางหรือแก้ว
- ทดสอบเบรกจอดบนทางลาด 15–20% รถต้องไม่ไหลเมื่อดึงสุด
- ลองเบรกต่อเนื่องหลายครั้ง ดูอาการเฟด ถ้าแรงเบรกลดลงเร็ว แผ่ความร้อนไม่ทัน
- บรรทุกจริงตามพิกัดแล้วทดสอบซ้ำ ระวังระยะหยุดจะยาวขึ้นเสมอ
ตารางค่าทดสอบคร่าว ๆ (ใช้เทียบอาการเบื้องต้น ควรอ้างอิงคู่มือรุ่นของคุณอีกที)
รายการทดสอบ | ค่าควรได้ (เปล่า) |
---|---|
ระยะหยุดที่ 5 กม./ชม. | ≤ 1.5 ม. |
ระยะหยุดที่ 10 กม./ชม. | ≤ 4 ม. |
เบรกจอดบนทางลาด | ยึดอยู่ที่ 15–20% |
ถ้าตัวเลขเกินจากนี้เยอะ ให้หยุดใช้งานและตรวจระบบทั้งชุด ตั้งแต่ผ้าเบรก จาน/ดรัม ท่อ และการไล่ลม
ตรวจการรั่วซึมของระบบพวงมาลัยเพาเวอร์
พวงมาลัยที่ดีต้องนิ่ง ตอบสนองไว และไม่กินแรงมือเกินไป
- ระดับน้ำมันพวงมาลัย: เช็กตอนเครื่องเย็น ระดับต้องอยู่ในขีดกำกับ สีไม่ควรดำหรือมีกลิ่นไหม้
- รอยซึม: มองหาคราบที่ปั๊มเพาเวอร์ ท่อแรงดัน–ท่อกลับ ซีลกระบอกเลี้ยว และข้อต่อทั้งหมด
- เสียงและแรงสะท้าน: หมุนซ้าย–ขวาจนสุดสโตรก ไม่ควรมีเสียงหอนดังหรือสั่นสะท้านที่พวงมาลัย
- ระยะฟรีพวงมาลัย: หมุนแล้วล้อหลังควรเริ่มตอบทันที ถ้าต้องหมุนมากกว่าครึ่งฝ่ามือก่อนล้อจะขยับ มีโอกาสคลอนที่ลูกหมาก คานเลี้ยว หรือวาล์วควบคุม
- ระหว่างบรรทุก: ถ้าพวงมาลัยหนักผิดปกติหรือมีอาการสะบัด ให้เช็กแรงดันปั๊มและกระบอกเลี้ยวทันที
เจอเบรกนิ่ม ดึงข้าง มีเสียงดัง หรือเห็นรอยซึมน้ำมันที่พวงมาลัย หยุดใช้รถ แล้วแจ้งช่าง ตรวจให้จบก่อนกลับไปทำงาน ไม่ต้องฝืนขับต่อ
ชิ้นส่วนรถยกแบตเตอรี่และระบบไฟฟ้าสำหรับรถยกไฟฟ้า
แบตเตอรี่ที่แข็งแรงและระบบไฟฟ้าที่สมบูรณ์ คือหัวใจให้รถยกไฟฟ้าทำงานได้ทั้งวันโดยไม่สะดุด เรื่องนี้เกี่ยวโยงกับการดูแลรถโฟล์คลิฟท์ แบบวันต่อวันจริงๆ ลืมเช็กไม่กี่จุด รถก็อ่อนแรงกลางกะได้ง่ายๆ
ตรวจระดับอิเล็กโทรไลต์และความถ่วงจำเพาะ
คำแรกที่ควรจำให้ขึ้นใจคือ อิเล็กโทรไลต์ ต้องไม่ต่ำจนเห็นแผ่นตะกั่ว และการอ่านค่า SG ของแต่ละเซลล์ควรใกล้เคียงกัน
- ตรวจระดับน้ำกลั่น: หลังชาร์จเต็ม ระดับควรพ้นแผ่นตะกั่วเล็กน้อย (ราว 5–10 มม.). ถ้าต่ำมาก ค่อยเติมน้ำกลั่นทีละนิด
- วัด SG ทุกเซลล์ด้วยไฮโดรมิเตอร์ที่ 25°C และบันทึกค่าเทียบวันก่อนหน้า
- ค่าต่างกันระหว่างเซลล์เกิน 0.030 บอกใบ้ว่าเริ่มไม่สมดุล ควรหยุดใช้งานและหาสาเหตุ
- ชดเชยอุณหภูมิ: เพิ่ม/ลดราว 0.004 ต่อ 10°C จาก 25°C
ตารางอ้างอิง SG (25°C)
สถานะแบต | SG โดยประมาณ |
---|---|
100% | 1.275–1.290 |
75% | 1.240–1.255 |
50% | 1.205–1.220 |
25% | 1.170–1.185 |
ต่ำ/ต้องชาร์จ | < 1.170 |
เติมน้ำกลั่น “หลังชาร์จ” เป็นหลัก เว้นแต่ระดับต่ำจนเห็นแผ่น จึงเติมเล็กน้อยก่อนชาร์จเพื่อป้องกันความร้อนทำให้ล้น
ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่และขันแน่นสายไฟ
ขั้วสกปรกหรือหลวมทำให้เกิดความร้อน ตัดกำลัง และทำให้ชาร์จไม่เต็ม ช่วยได้ด้วยขั้นตอนสั้นๆ นี้
- ปิดระบบ ถอดขั้วลบก่อน แล้วค่อยถอดขั้วบวก
- ผสมน้ำกับผงฟูเล็กน้อย ทำความสะอาดคราบเกลือด้วยแปรงนุ่ม ระวังอย่าให้น้ำเข้ารูเติม
- เช็ดและเป่าให้แห้ง เคลือบขั้วบางๆ ด้วยจาระบี/สเปรย์กันสนิม
- ตรวจฉนวนสายไฟ รอยแตก จุดไหม้ หรือปลั๊กต่อ (เช่น Anderson) ที่หลวมๆ แล้วขันแน่นตามสเปกผู้ผลิต อย่าขันแรงจนเกลียวเสีย
- ตรวจราง/กล่องแบตให้เลื่อนได้เรียบ ไม่มีเศษโลหะตกค้าง และจุดยึดไม่โยก
ทดสอบการชาร์จและการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า
การทดสอบไม่ต้องซับซ้อน วัดไม่กี่ค่าก็พอบอกอาการได้แล้ว
- หลังชาร์จเต็มและพัก 1 ชั่วโมง แรงดันเปิดวงจรโดยประมาณอยู่ราว 2.12–2.14 V ต่อเซลล์ ถ้าต่ำกว่านี้มากให้หาสาเหตุ
- ระหว่างยกหรือวิ่งหนัก แรงดันใต้โหลดไม่ควรตกจนใกล้ 1.75 V ต่อเซลล์ มิฉะนั้นควรหยุดพัก/ชาร์จ
- ระหว่างชาร์จ อุณหภูมิแบตไม่ควรเกินราว 50°C เครื่องชาร์จควรตัดอัตโนมัติเมื่อเต็ม
- ฟังเสียงมอเตอร์: แปรงถ่านสั้นผิดปกติ เสียงครูด หรือประกายไฟมากเกิน บอกได้ถึงการสึกหรอของคอมมิวเตเตอร์หรือตลับลูกปืน
- คอนโทรลเลอร์และพัดลมระบายความร้อนต้องทำงาน ไฟเตือน/โค้ดผิดปกติให้บันทึกไว้ และให้ช่างตรวจฉนวนด้วยเมกเกอร์ปีละครั้ง
สรุปสั้นๆ ถ้าเรายอมเสียเวลาวัด SG จดบันทึก ทำความสะอาดขั้ว และเช็กการชาร์จให้ถูกจังหวะ รถก็พร้อมลุยงานทั้งกะได้แบบไม่ปวดหัว นี่แหละแก่นของการดูแลรถโฟล์คลิฟท์ ด้านไฟฟ้าที่คุ้มค่าที่สุด
ชิ้นส่วนรถยกเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังสำหรับรถยกน้ำมัน
เครื่องยนต์กับระบบส่งกำลังนี่งอแงทีเดียว งานทั้งโกดังสะดุดทันที ผมเคยคิดว่าเสียงเอี๊ยดนิดหน่อยเดี๋ยวก็หาย สุดท้ายกลายเป็นสายพานขาดกลางกะ ต้องลากเข้าซ่อม เสียเวลามาก ตรวจให้ชัวร์ตั้งแต่ต้นง่ายกว่าตามแก้ทีหลังเยอะ
ตรวจน้ำมันเครื่อง ไส้กรอง และสภาพสายพานท่อ
- เช็กระดับน้ำมันเครื่องบนพื้นราบ ปิดเครื่องสักพักให้คราบไหลลงอ่าง ระดับควรอยู่ระหว่าง L–F สีไม่ขุ่นขาว และไม่มีกลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิงปน
- เปลี่ยนถ่ายตามชั่วโมงที่คู่มือแนะนำ ใช้เกรด SAE/API ตรงสเปค อย่าผสมยี่ห้อมั่ว ๆ
- ไส้กรองเครื่องและกรองเชื้อเพลิงเปลี่ยนตามรอบ ระบายน้ำออกจากกระปุกกรองถ้ามีหยดน้ำปนเชื้อเพลิง
- กรองอากาศ เป่าฝุ่นหรือเปลี่ยนเมื่อไฟเตือนหรือเกจฝุ่นชี้ (หน้างานฝุ่นหนักควรดูทุกวัน)
- สายพาน: กดช่วงกลางให้ยุบประมาณ 10–12 มม. ไม่แตก ไม่เป็นขุย ไม่มีเสียงหวีดตอนเร่งเครื่อง
- ท่อยางและแคลมป์: มองหาจุดบวม แข็ง ตัวหนังสือซีด แตกเส้น คลายตัว มีคราบมันหรือเปียกชื้น
ตารางแนวทางรอบตรวจ (เบื้องต้น — ปรับตามคู่มือรุ่น)
รายการ | รอบตรวจเบื้องต้น (ชม.ทำงาน) | สังเกตเพิ่มเติม |
---|---|---|
น้ำมันเครื่อง | ตรวจทุกวัน / เปลี่ยน 250 | สี กลิ่น ฟอง คราบโลหะที่แม่เหล็กปลั๊ก |
ไส้กรองเครื่อง | 250–500 | เปลี่ยนพร้อมถ่ายน้ำมัน |
ไส้กรองเชื้อเพลิง/ระบายน้ำ | 50–100 | หน้างานชื้นหรือน้ำปนเชื้อเพลิง ให้ระบายถี่ขึ้น |
สายพาน/ท่อยาง | ตรวจทุกวัน | เปลี่ยนเมื่อแตกร้าว แข็งตัว หรืออายุเกิน ~2 ปี |
ฟังเสียงผิดปกติของเครื่องยนต์และทอร์กคอนเวอร์เตอร์
เสียงบอกอาการได้เร็วกว่าไฟเตือนหลายครั้ง ฟังตอนเดินเบา เร่งขึ้นช้า ๆ และลองเข้าเกียร์เคลื่อนช้า ๆ จะชัดสุด โดยเฉพาะชุดส่งกำลังและทอร์กคอนเวอร์เตอร์
- เคาะแห้งตามรอบเครื่อง: ช่องวาล์วหลวมหรือน้ำมันเครื่องบางเกิน ลองเช็กแรงดันและสเปคน้ำมัน
- หวีดช่วงออกตัว/ยกของ: สายพานลื่น หรือปั๊มส่งน้ำมันเกียร์/ไฮดรอลิกเริ่มล้า ตรวจความตึงและระดับน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ (ATF)
- สั่นตอนเดินเบา เข้าเกียร์แล้วสะท้าน: แท่นเครื่องหรือตัวรองยางเสื่อม เพลาขับหลวม ต้องขันหรือเปลี่ยน
- ครืด ๆ ตอนบรรทุกหนัก: คลัตช์เปียกสึก (บางรุ่น), น้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพ หรืออุณหภูมิน้ำมันสูงเกิน ตรวจครีบระบายและกรอง
ตรวจการรั่วซึมของเชื้อเพลิงและระบบไอเสีย
- เชื้อเพลิง: มองหาคราบเปียกที่รางหัวฉีด ท่อกลับ ปลั๊กระบายน้ำกรอง ข้อต่อบานโจ ใช้กระดาษทิชชูแตะหาต้นตอ
- ไอเสีย: รอยเขม่าดำรอบคอท่อหรือปะเก็นคือสัญญาณรั่ว ได้ยินเสียง “ปุ๊บ ๆ” ตามรอบเครื่อง ท่ออ่อนแตกก็เจอบ่อย
- หม้อพัก: อุดตันทำให้แรงตกและความร้อนสะสม สังเกตสนิมกินรูหรือข้อต่อฉีก
- สีควัน: ดำ = กรองอากาศตัน/เชื้อเพลิงมาก, น้ำเงิน = เผาน้ำมันเครื่อง, ขาว = ไอน้ำหรือน้ำหล่อเย็นเข้า ทดสอบซ้ำหลังร้อนจัดเพื่อแยกอาการ
ได้กลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิงแรง ๆ ในตำแหน่งคนขับ หรือตอนจอดเดินเบา ให้หยุดตรวจทันที อย่าปล่อยลามจนติดเครื่องร้อนจัด
พบรอยรั่วหรือเสียงผิดปกติ ให้หยุดใช้งานและเรียกช่างทันที
ชิ้นส่วนรถยกอุปกรณ์ความปลอดภัยและการแจ้งเตือน
บางทีเราเผลอคิดว่า “ยกของขึ้นได้ ก็ไปต่อได้” แต่ของจริงในโรงงานมันไม่เรียบง่ายขนาดนั้น ไฟส่องสว่าง แตร ไฟเตือน เข็มขัด และโครงป้องกัน คือสิ่งที่ทำให้รอดจากเหตุไม่คาดคิดได้มากกว่าที่คิดเสียอีก
อุปกรณ์ความปลอดภัยต้องใช้งานได้จริงทุกกะ ไม่ใช่แค่มีติดรถ.
ตรวจไฟส่องสว่าง สัญญาณเตือน และแตร
ไฟบางดวงใช้ไม่กี่วินาทีในการเช็ก แต่ช่วยหลบอุบัติเหตุเป็นชั่วโมง เช็กตอนก่อนออกกะดีที่สุด โดยเปิดทีละสวิตช์แล้วเดินรอบรถ ดูทั้งด้านหน้า ด้านท้าย และบริเวณเสา
รายการ | วิธีตรวจแบบเร็ว | ผ่านเมื่อ |
---|---|---|
ไฟหน้า/ไฟท้าย/ไฟถอย | เปิดทีละสวิตช์ เดินรอบรถ ดูความสว่างและทิศทางลำแสง | ดวงติดครบ แสงไม่สั่น ไม่มีเลนส์แตกหรือมีน้ำขัง |
ไฟเลี้ยว/ไฟฉุกเฉิน | เปิดซ้าย-ขวา และไฟฉุกเฉิน | กระพริบสม่ำเสมอทั้งหน้า-หลัง อัตรากะพริบไม่เร็ว/ช้าเกิน |
ไฟเตือนบนแผงหน้าปัด | บิดกุญแจตำแหน่ง ON ให้ไฟเตือนติดครบ แล้วดูว่าดับหลังเครื่องทำงาน | ไม่มีไฟเตือนค้าง ยกเว้นไฟที่ต้องติดตามสภาวะ |
แตร และเสียงถอยหลัง | กดแตร และเข้าเกียร์ถอยฟังเสียงเตือน | เสียงดังชัด ฟังได้ในระยะทำงานปกติ 3–5 เมตร |
ไฟสัญญาณหมุน/แฟลช (บีคอน) | เปิดขณะเคลื่อนรถช้าๆ | มองเห็นได้ 360° แม้ในที่สว่าง ไม่มีจังหวะดับวูบ |
- ทำความสะอาดเลนส์ไฟด้วยผ้านุ่ม หลีกเลี่ยงสารกัดพลาสติก
- สายไฟที่แตก/แข็งกรอบ หรือขั้วหลวม ให้เปลี่ยน ไม่พันเทปแก้ขัด
- ถ้าไฟถอยไม่ติด แต่เกียร์ถอยทำงาน อาจเป็นสวิตช์เกียร์ถอยเสีย เช็กทันที
ตรวจพนักพิงบรรทุก หลังคานิรภัย และเข็มขัดนิรภัย
พวกนี้มักอยู่เฉยๆ จนถูกลืม แต่พอของหล่น หยุดรถแรงๆ หรือรถเอียงนิดเดียว จะรู้เลยว่าคุ้มแค่ไหน
- พนักพิงบรรทุก (Load Backrest): ต้องตั้งฉาก ไม่คดงอ รอยเชื่อมไม่แตก สลักยึดแน่น ระดับสูงพอให้กันกล่องลื่นถอยมาหาคนขับได้
- หลังคานิรภัย/โครงป้องกันวัตถุตก: โครงไม่บิด ไม่มีรูเจาะ/ดัดแปลงที่จุดวิกฤต แผงตะแกรงไม่มีซี่หาย ตรวจน็อตยึดทุกมุมให้แน่น
- เข็มขัดนิรภัย: สายไม่ขาดลุ่ย ไม่แข็งกรอบ ดึงกระชากแล้วล็อกได้ทันที กลับเก็บตัวได้เอง หัวเข็มขัดล็อกแน่น จุดยึดแนบแน่นกับตัวถัง
- ถ้าสัมผัสน้ำมัน จารบี หรือกรดแบตเตอรี่ ให้ล้างด้วยสบู่อ่อนและเป่าแห้ง หากยังลื่น/แข็ง ให้เปลี่ยนใหม่ทันที
ตรวจสภาพกระจก มาตรวัด และสวิตช์ควบคุม
มุมมองต้องใส มาตรวัดต้องอ่านได้ สวิตช์ต้องตอบสนอง ไม่งั้นอาจพลาดจังหวะสำคัญเอาง่ายๆ
- กระจกและทัศนวิสัย
- เช็ดคราบฝุ่น น้ำมัน และละอองไฮดรอลิกออกจากกระจกทุกบาน ให้มองเห็นปลายงาได้ชัด
- รอยร้าว/รอยบิ่นที่ขอบกระจกให้เปลี่ยน ไม่แนะนำใช้ต่อเพราะร้าวจะลาม
- ถ้ามีใบปัดน้ำฝน ทดสอบการปัดและน้ำฉีดกระจก
- มาตรวัดและไฟบอกสถานะ
- เปิดกุญแจที่ตำแหน่ง ON ดูเข็มและไฟเตือนกวาดขึ้นลงครบ แล้วต้องกลับสภาพปกติเมื่อเครื่องติด
- ตรวจเกจอุณหภูมิ ระดับเชื้อเพลิง/แบตเตอรี่ ชั่วโมงเครื่อง และไฟเบรกมือ ถ้ามีดวงไหนทำงานผิดปกติให้บันทึกไว้
- สวิตช์และคันควบคุม
- ทดสอบสวิตช์ไฟทุกตัว คันควบคุมยก/เอียง/เลื่อนในเกียร์ว่าง การเคลื่อนที่ต้องนุ่มนวล ไม่หนืดหรือสะดุด
- เบรกมือ/สวิตช์ตัดฉุกเฉิน (ถ้ามี) ต้องทำงานจริงเมื่อทดลองใช้
พบไฟเตือนค้าง แตรไม่ดัง เข็มขัดล็อกไม่อยู่ หรือสวิตช์ใดๆ ไม่ตอบสนอง ให้หยุดใช้งานรถ ป้ายพักซ่อม และแจ้งช่างทันที ไม่แก้ขัดหน้างาน
ชิ้นส่วนรถยกที่มักถูกมองข้าม
ของเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ตามมุมรถนี่แหละ พอเสียทีไร หาสาเหตุกันครึ่งวันทุกที เพราะมันไม่ค่อยถูกตรวจตั้งแต่แรกไงละ ใช้งานไปเงียบๆ อยู่ดีๆ เริ่มมีเสียงสั่นนิดหน่อย น้ำมันหยดนิดเดียว แล้วงานก็สะดุดทั้งไลน์งาน
ชิ้นส่วนเล็กๆ เหล่านี้ถ้าตรวจสั้นๆ ทุกวัน จะช่วยตัดปัญหาใหญ่ได้เยอะมาก
รายการ | สัญญาณเตือนที่มักโผล่มาก่อน | รอบตรวจแนะนำ |
---|---|---|
ฝาครอบ/ซีลฝุ่น/ยางกันกระแทก | ฝุ่นเข้าเยอะ น้ำมันซึม รอยฉีกขาด | รายวัน/รายสัปดาห์ |
คอนโทรลวาล์ว/คันบังคับ/ฟิวส์ | คันโยกฝืด เงียบผิดปกติหรือหวีด ฟิวส์ขาดซ้ำ | รายสัปดาห์ |
รอยเชื่อมโครงสร้าง/การบิดงอ | เสียงก๊อกแก๊ก เสาเอียง รอยแตกเส้นผม | รายเดือน หรือหลังเกิดชน/กระแทก |
เคล็ดสั้นๆ: กันลืม ให้ถ่ายรูปจุดเดิมทุกสัปดาห์ไว้เทียบ จะเห็นความเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นมาก
ตรวจฝาครอบ ซีลฝุ่น และยางกันกระแทก
หน้าที่ของกลุ่มนี้คือกันสิ่งสกปรก กันกระแทก และคุมของเหลวให้อยู่ในระบบ ถ้าพลาดไปอย่างเดียว ระบบอื่นๆ จะสกปรกและสึกหรอไวขึ้น
- ใช้ไฟฉายกวาดดูรอบฝาครอบ ตรวจรอยร้าว รอยบิ่น คลิปล็อกหลุด หรือสกรูหลวม แล้วลองเขย่าดูว่าโยกไหม
- ลูบตรวจคราบน้ำมันรอบขอบยางและริมซีล ถ้ามีคราบชื้นๆ หรือเป็นแนวเปียก แปลว่ามีทางรั่วเริ่มต้นแล้ว
- กดดูยางกันกระแทกด้วยนิ้ว ถ้าแข็งกรอบ กดยุบยาก หรือแตกเป็นเสี้ยน ควรเปลี่ยนทันที
- ทำความสะอาดแบบเบาๆ: ใช้แปรงขนนุ่มหรือผ้าไมโครไฟเบอร์ หลีกเลี่ยงฉีดน้ำแรงดันสูงตรงจุดยางและซีล
- เกณฑ์เปลี่ยนที่เจอบ่อย: ยางกันกระแทกยุบจนชิ้นส่วนโลหะชนกัน ฝาครอบแตกมีรู และขอบซีลแตกร้าว
- ถ้าต้องถอดฝาครอบ ตรวจโอริงและแผ่นรองทุกครั้ง ใส่กลับให้แนบเสมอ ไม่บิด ไม่หนีศูนย์ และทดสอบรั่วหลังประกอบ
หมายเหตุ: ระบุชนิดยางและจุดสั่งซื้อในบันทึกซ่อม จะได้หาของตรงรุ่นเร็วขึ้น (คำนี้ใช้ครั้งเดียว) เช่น ซีล
ตรวจคอนโทรลวาล์ว คันบังคับทิศทาง และฟิวส์
อาการติดขัดเล็กๆ มักเริ่มที่นี่ก่อน เช่น คันโยกค้างนิดเดียว เสายกค่อยๆ ไหลลง หรือสัญญาณไฟดับเป็นพักๆ
- ทดสอบคันโยก: ดัน-ปล่อยให้กลับศูนย์ ต้องลื่น ไม่มีสะดุดหรือฝืด ถ้ามี ให้เช็คแกนคันโยก บูช และจุดหล่อลื่นตามคู่มือ
- เช็ก “ไหลเอง” ของเสายก: ยกงาขึ้นเล็กน้อย หยุดนิ่ง 30–60 วินาที ถ้างาลดระดับลงชัดเจน อาจมีรั่วภายในวาล์วหรือกระบอก
- ฟังเสียงเวลาสั่งงาน: เสียงหวีดต่อเนื่องบอกการอั้นหรือความดันผิดปกติ ควรตรวจฟิลเตอร์ไฮดรอลิกและความสะอาดน้ำมัน
- ตรวจข้อต่อและก้านวาล์ว: มองหาคราบน้ำมัน วงแหวนยางบวม ขันหน้าจาน/น็อตยึดให้แน่นพอดี
- ฟิวส์และกล่องไฟ: ถ้าฟิวส์ขาดซ้ำ เปลี่ยนเป็นค่าเดิมเท่านั้น แล้วตามหาจุดลัดวงจร อย่าใช้ลวดแทนฟิวส์เด็ดขาด
- ทำความสะอาดช่องคันบังคับและหน้าสัมผัสสวิตช์ด้วยสเปรย์ทำความสะอาดไฟฟ้าแบบแห้ง ไม่ทิ้งคราบ
ตรวจรอยเชื่อมโครงสร้างและการบิดงอของตัวถัง
รอยแตกเส้นผมตามแนวเชื่อมมักไม่ดัง ไม่เตือน แต่สะสมไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเสาไม่ตั้ง รถเอียง งานหยุดยาว
- ส่องไฟฉายใกล้ๆ ตามแนวเชื่อมรอบฐานเสา จุดยึดกระบอกไฮดรอลิก แท่นแบตเตอรี่/ถังแก๊ส และโครงหลังคานิรภัย มองหารอยแตกเป็นเส้นบางๆ หรือคราบสนิมซึมตามรอย
- ใช้ชอล์กถูบางๆ แล้วเคาะเบาๆ ด้วยด้ามไขควง ฟังเสียงทึบต่างจากจุดปกติ มักชี้ตำแหน่งเนื้อโลหะอ่อนแรง
- วัดระดับคร่าวๆ: จอดบนพื้นเรียบ วัดความสูงจุดยึดสี่มุมเทียบกัน ถ้าต่างกันชัดเจนหรือเสาเอียง ควรหยุดใช้งานและเรียกช่างประเมิน
- ตรวจสลักและเพลทยึดเสา พร้อมยางรองฐานเสา ถ้ายางขาดหรือแผ่นเพลทบิด งาจะโยกมากขึ้น
- หลังเกิดชนหรือยกหนักผิดสเปก ให้ตรวจทันที แม้ชนเบาๆ ก็ทำให้แนวเชื่อมเริ่มปริได้
- หลีกเลี่ยงเชื่อมเสริมเองแบบไม่มีแบบและขั้นตอน เพราะความร้อนและแนวเชื่อมผิดจะยิ่งทำให้โครงสร้างอ่อนแรง
สรุป: การดูแลรถโฟล์คลิฟท์ คือหัวใจสำคัญ
การหมั่นตรวจสอบและดูแลรถโฟล์คลิฟท์อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่เรื่องของความปลอดภัยเท่านั้นนะ แต่ยังช่วยให้รถทำงานได้ดีขึ้น ยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้นด้วย การใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างการเช็คน้ำมัน ล้อ หรือแม้แต่สายไฟ ก็ช่วยป้องกันปัญหาใหญ่ที่อาจตามมาได้ ลองเอาคำแนะนำเหล่านี้ไปปรับใช้ดู รับรองว่ารถโฟล์คลิฟท์คู่ใจของคุณจะทำงานได้อย่างราบรื่นไปอีกนานเลยล่ะ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลรถยก
ทำไมการตรวจเช็ครถยกถึงสำคัญมาก?
การตรวจเช็คเป็นประจำเหมือนการพาหมอไปหาหมอให้รถเรานั่นแหละ มันช่วยให้รถทำงานได้ดี ไม่เสียกลางทาง และอยู่กับเราไปนานๆ แถมยังช่วยให้เราทำงานได้อย่างปลอดภัยด้วยนะ
ต้องเช็คอะไรบ้างที่งาและโซ่ของรถยก?
ต้องดูว่าตรงงา งอ หรือมีรอยแตกไหม ส่วนโซ่ก็ต้องดูว่าหย่อนไปหรือเปล่า และเช็คพวกตัวลูกกลิ้งต่างๆ ว่ามันแน่นดีอยู่ไหม
รถยกไฟฟ้ากับรถยกน้ำมันต่างกันตรงไหนในการดูแล?
รถไฟฟ้าก็ต้องเน้นดูแบตเตอรี่กับระบบไฟเป็นพิเศษ ส่วนรถน้ำมันก็ต้องดูเครื่องยนต์ ระบบน้ำมัน แล้วก็ท่อต่างๆ เหมือนรถยนต์ทั่วไปเลย
ถ้าเจอเสียงแปลกๆ จากเครื่องยนต์หรือเกียร์ ควรทำยังไง?
ถ้าได้ยินเสียงไม่คุ้นหู หรือรถมีอาการแปลกๆ ตอนทำงาน ควรหยุดแล้วรีบให้ช่างมาดูเลยนะ อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้
ยางรถยกสำคัญแค่ไหน ต้องดูอะไรบ้าง?
ยางเป็นเหมือนเท้าของรถเลยนะ ต้องดูว่าลมยางพอดีไหม มีรอยแตกหรือบวมหรือเปล่า แล้วก็เช็คน็อตที่ล้อให้แน่นๆ ด้วย จะได้ขับไปไหนมาไหนได้อย่างมั่นใจ
มีส่วนไหนของรถยกที่คนมักจะลืมตรวจเช็คบ้างไหม?
บางทีคนเราก็ลืมดูพวกฝาครอบเล็กๆ น้อยๆ พวกซีลกันฝุ่น ยางกันกระแทก หรือแม้แต่พวกสวิตช์ คอนโทรลวาล์วพวกนี้ ถึงจะเล็กแต่ก็สำคัญนะ ถ้ามันเสียไปก็อาจจะทำให้ส่วนอื่นมีปัญหาได้