การเปรียบเทียบรถโฟล์คลิฟท์รุ่นเก่าและใหม่สำหรับคลังสินค้า

รถโฟล์คลิฟท์สำหรับคลังสินค้าขนาดใหญ่ เปรียบเทียบรุ่นเก่าและใหม่
การเลือกใช้รถโฟล์คลิฟท์สำหรับคลังสินค้ามีการพัฒนาไปมากเมื่อเทียบกับสมัยก่อน รถรุ่นใหม่ๆ ถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราต้องทำงานในพื้นที่ที่จำกัด หรือต้องการความคล่องตัวสูง
ความแตกต่างของรถ Reach Truck และรถโฟล์คลิฟท์แบบทั่วไป
รถโฟล์คลิฟท์แบบดั้งเดิม หรือที่เรียกว่า Counter Balance นั้น มีลักษณะเด่นคือมีน้ำหนักถ่วงด้านหลังเพื่อความสมดุล แต่รถ Reach Truck ถูกออกแบบมาให้มีขนาดกะทัดรัดกว่ามาก และมีเสายกที่สามารถยื่นออกไปได้ ทำให้สามารถยกสินค้าในที่แคบได้ดีกว่า ความสามารถในการเข้าถึงที่สูงและพื้นที่จำกัดคือจุดเด่นสำคัญของ Reach Truck
- ขนาดตัวรถ: Reach Truck มีขนาดเล็กกว่า ทำให้เข้าถึงช่องทางเดินแคบๆ ได้ดี
- เสายก: เสายกของ Reach Truck สามารถยื่นออกไปได้ ช่วยให้ยกสินค้าได้แม่นยำขึ้น
- การทรงตัว: Reach Truck ออกแบบมาให้มีความมั่นคงในการยกของสูง แม้จะมีขนาดเล็ก
ประสิทธิภาพการทำงานในพื้นที่จำกัด
ในคลังสินค้าสมัยใหม่ พื้นที่จัดเก็บมักถูกออกแบบให้ใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ซึ่งหมายถึงทางเดินที่แคบลง รถโฟล์คลิฟท์แบบทั่วไปอาจประสบปัญหาในการเคลื่อนที่และทำงานในพื้นที่เหล่านี้ แต่รถโฟล์คลิฟท์สำหรับคลังสินค้า Reach Truck ถูกสร้างมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ ด้วยวงเลี้ยวที่แคบกว่าและขนาดที่เล็กกว่า ทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่เกะกะ
การทำงานในพื้นที่จำกัดต้องการรถที่มีความคล่องตัวสูง Reach Truck จึงเป็นคำตอบที่เหมาะสมกว่ารถโฟล์คลิฟท์แบบดั้งเดิมในหลายกรณี
การออกแบบเพื่อการใช้งานที่หลากหลาย
รถโฟล์คลิฟท์รุ่นใหม่ๆ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การยกและวางสินค้าเท่านั้น แต่ยังมีการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น เช่น การออกแบบให้ผู้ขับขี่สามารถยืนหรือนั่งได้ เพื่อความสะดวกสบายในการทำงานที่ยาวนาน หรือการออกแบบให้มีระบบควบคุมที่ทันสมัย ช่วยลดความเหนื่อยล้าและเพิ่มความแม่นยำในการทำงาน การเปรียบเทียบรถโฟล์คลิฟท์รุ่นเก่าและใหม่จึงเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนในด้านการออกแบบที่เน้นผู้ใช้งานและประสิทธิภาพการทำงานโดยรวม
ปัจจัยสำคัญในการเลือกรถโฟล์คลิฟท์สำหรับคลังสินค้า

การเลือกรถโฟล์คลิฟท์ที่ใช่สำหรับคลังสินค้าของคุณไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามได้เลยนะครับ มันมีหลายอย่างที่ต้องคิดถึง เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะได้เครื่องมือที่ทำงานได้ดีที่สุดกับงานของเรา และที่สำคัญคือปลอดภัยด้วย ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่เราควรพิจารณา
การวิเคราะห์ความต้องการและลักษณะงาน
ก่อนอื่นเลย เราต้องรู้ก่อนว่าเราจะเอารถโฟล์คลิฟท์ไปใช้ทำอะไรบ้างในคลังสินค้าของเรา งานของเรามันหนักแค่ไหน ต้องยกของบ่อยแค่ไหน แล้วของที่เรายกมันมีลักษณะยังไง เป็นกล่องใหญ่ๆ หรือเป็นพาเลทสินค้าที่วางซ้อนกันสูงๆ การเข้าใจลักษณะงานจะช่วยให้เราเลือกประเภทรถและสเปกที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้นเยอะเลยครับ
- ประเภทของสินค้า: สินค้าที่ยกเป็นแบบไหน? มีขนาดและน้ำหนักเท่าไหร่? ต้องยกขึ้นที่สูงแค่ไหน?
- สภาพแวดล้อมการทำงาน: จะใช้งานในอาคารหรือนอกอาคาร? พื้นที่ทำงานเป็นแบบไหน? แคบหรือกว้าง? มีสิ่งกีดขวางเยอะไหม?
- ปริมาณงาน: ต้องยกของมากน้อยแค่ไหนต่อวัน? มีการทำงานเป็นกะหรือไม่?
การพิจารณาน้ำหนักและความสูงในการยก
เรื่องน้ำหนักและความสูงนี่สำคัญมากจริงๆ ครับ เพราะมันเกี่ยวกับทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัยโดยตรงเลย
- น้ำหนักบรรทุกสูงสุด (Load Capacity): ต้องเลือกให้รองรับน้ำหนักของที่หนักที่สุดที่เราจะยกได้สบายๆ ไม่ใช่แค่พอดีเป๊ะนะครับ ควรเผื่อไว้หน่อยเพื่อความปลอดภัยและยืดอายุการใช้งานของรถด้วย
- ความสูงในการยก (Lifting Height): ดูว่าชั้นวางสินค้าของเราสูงแค่ไหน หรือเราต้องวางของบนที่สูงแค่ไหน รถโฟล์คลิฟท์ต้องยกได้ถึงจุดนั้นแบบเหลือๆ หน่อยนะครับ ไม่ใช่แค่พอดีเป๊ะ เพราะเวลาทำงานจริงมันอาจมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
การเลือกสเปกที่เหมาะสมกับน้ำหนักและความสูง จะช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน และทำให้การทำงานราบรื่นขึ้นเยอะเลยครับ
ความปลอดภัยและระบบการทำงาน
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด คือเรื่องความปลอดภัยครับ รถโฟล์คลิฟท์สมัยใหม่มีระบบความปลอดภัยเยอะแยะเลยที่เราควรพิจารณา
- ระบบเบรก: มีระบบเบรกที่ดีและไว้ใจได้แค่ไหน?
- ระบบเตือน: มีเสียงเตือนเมื่อถอยหลัง หรือเมื่อมีสิ่งกีดขวางไหม?
- โครงสร้าง: ตัวรถมีความแข็งแรง มั่นคงหรือไม่? เสาลิฟท์ออกแบบมาให้ปลอดภัยแค่ไหน?
- ระบบควบคุม: การบังคับเลี้ยว การควบคุมการยก ทำได้ง่ายและแม่นยำหรือไม่?
การใส่ใจในรายละเอียดเหล่านี้ จะช่วยให้เราได้รถโฟล์คลิฟท์ที่ทำงานได้ดี ปลอดภัย และคุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาวครับ
ประเภทของรถโฟล์คลิฟท์และแหล่งพลังงาน

เวลาเลือกซื้อรถโฟล์คลิฟท์สักคันเนี่ย มันมีหลายแบบให้เลือกจริงๆ นะครับ แล้วแต่ละแบบก็ใช้พลังงานต่างกันไปอีก วันนี้เราจะมาดูกันว่ามีแบบไหนบ้าง แล้วแต่ละแบบเหมาะกับงานแบบไหน
รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้า: ข้อดีและข้อจำกัด
รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากสำหรับคลังสินค้าสมัยใหม่ เพราะมันเงียบกว่า ไม่ปล่อยควัน แถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องน้ำมันไปได้เยอะเลยนะ การทำงานก็ราบรื่น ไม่ค่อยมีเสียงดังรบกวน ทำให้บรรยากาศในที่ทำงานดีขึ้นเยอะเลย แถมไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บถังเชื้อเพลิงที่อาจเป็นอันตรายด้วยนะ
ข้อดีหลักๆ ก็คือ:
- เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ไม่มีควัน ไม่มีเขม่า ทำให้พื้นที่ทำงานสะอาด ปลอดภัยต่อสุขภาพ
- ทำงานเงียบ: เสียงเบามาก ไม่รบกวนสมาธิของคนทำงาน
- ค่าบำรุงรักษาต่ำ: ไม่มีเครื่องยนต์ที่ต้องดูแลมากนัก
- คล่องตัว: เลี้ยวได้แคบ เหมาะกับพื้นที่จำกัด
แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่บ้างนะ อย่างเรื่องระยะทางวิ่งที่อาจจะสั้นกว่ารถที่ใช้น้ำมัน หรือเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ที่อาจจะนานกว่าการเติมน้ำมันทั่วไป แล้วก็ราคาเริ่มต้นอาจจะสูงกว่านิดหน่อย แต่ถ้ามองในระยะยาว เรื่องค่าใช้จ่ายรวมๆ แล้วถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว
รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้าเหมาะมากสำหรับงานในร่ม หรือพื้นที่ที่ต้องการความเงียบและสะอาดเป็นพิเศษ การดูแลรักษาก็ไม่ยุ่งยากเท่าไหร่ ทำให้พนักงานทำงานได้สบายขึ้นเยอะเลย
รถโฟล์คลิฟท์ดีเซล: ความทนทานและประสิทธิภาพ
ถ้าพูดถึงรถโฟล์คลิฟท์ดีเซล ก็ต้องนึกถึงความแรง ความทนทานเลยครับ รถพวกนี้เหมาะกับงานหนักๆ งานกลางแจ้ง หรือในพื้นที่ที่ต้องการกำลังสูงๆ เพราะเครื่องยนต์ดีเซลมันให้แรงบิดที่ดี ยกของหนักๆ ได้สบาย แถมยังลุยได้ทุกสภาพอากาศ ไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำ
ข้อดีของมันก็คือ:
- กำลังสูง: เหมาะกับงานยกของหนัก หรือทำงานต่อเนื่องยาวนาน
- ทนทาน: ออกแบบมาให้ใช้งานหนักได้ดี ทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ
- เติมน้ำมันเร็ว: เติมน้ำมันได้ไว พร้อมทำงานต่อได้ทันที
แต่ข้อเสียก็คือเรื่องเสียงดังและควันไอเสียที่ออกมา ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับงานในร่ม หรือพื้นที่ที่ต้องการอากาศบริสุทธิ์ และค่าบำรุงรักษาเครื่องยนต์ก็อาจจะสูงกว่ารถไฟฟ้าอยู่บ้าง
รถโฟล์คลิฟท์ LPG: ความคุ้มค่าและการใช้งาน
รถโฟล์คลิฟท์ LPG หรือที่ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิง ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจครับ มันมีความสมดุลระหว่างรถไฟฟ้ากับรถดีเซล คือมีกำลังพอสมควร ไม่ดังเท่าดีเซล และก็ปล่อยมลพิษน้อยกว่าดีเซลด้วย ทำให้เหมาะกับการใช้งานทั้งในร่มและกลางแจ้ง
ข้อดีที่เห็นได้ชัดคือ:
- ใช้งานได้หลากหลาย: เหมาะกับทั้งงานในร่มและกลางแจ้ง
- เสียงและมลพิษน้อยกว่าดีเซล: ทำให้ทำงานได้สบายขึ้น
- คุ้มค่า: ค่าเชื้อเพลิงมักจะถูกกว่าน้ำมันเบนซิน และหาเติมได้ง่าย
ข้อควรพิจารณาคือเรื่องการจัดการถังก๊าซ LPG ที่ต้องมีการเปลี่ยนหรือเติมอยู่เสมอ และประสิทธิภาพอาจจะไม่เท่ารถดีเซลในงานที่หนักมากๆ ครับ
เทคโนโลยีแบตเตอรี่สำหรับรถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้า
แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน: ประสิทธิภาพและความทนทาน
ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้าก็เช่นกันครับ หนึ่งในเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่น่าสนใจและกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ คือ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Lithium-ion) ที่เข้ามาเปลี่ยนมุมมองการใช้งานรถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้าไปเลยทีเดียว ถ้าเทียบกับแบตเตอรี่แบบเก่าๆ แล้ว เจ้าลิเธียมไอออนนี่มีอะไรที่น่าสนใจกว่าเยอะเลยนะ
ข้อดีของการใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน
แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีข้อดีหลายอย่างที่ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับรถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้าสมัยใหม่:
- ความจุสูง ใช้งานได้นาน: แบตเตอรี่ประเภทนี้เก็บพลังงานได้มากกว่าแบตเตอรี่แบบเดิมๆ ทำให้รถโฟล์คลิฟท์ทำงานได้ต่อเนื่องยาวนานขึ้น ไม่ต้องชาร์จบ่อยๆ ให้เสียเวลา
- ประสิทธิภาพดีเยี่ยม: การส่งและรับพลังงานของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทำได้ดีมาก ทำให้รถเคลื่อนที่ได้เร็วและสูญเสียพลังงานน้อยลงระหว่างการทำงาน
- อายุการใช้งานยาวนาน: ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื่อมสภาพเร็ว แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทนทานกว่า ใช้งานได้หลายรอบโดยที่ความจุลดลงน้อยมาก ทำให้คุ้มค่าในระยะยาว
- ปลอดภัยสูง: มีระบบควบคุมอุณหภูมิและระบบป้องกันต่างๆ ที่ช่วยให้การใช้งานปลอดภัยตามมาตรฐาน
การเปรียบเทียบกับแบตเตอรี่แบบดั้งเดิม
ถ้าจะให้เห็นภาพชัดๆ ลองดูตารางเปรียบเทียบนี้ครับ:
| คุณสมบัติ | แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน | แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด (แบบดั้งเดิม) |
|---|---|---|
| อายุการใช้งาน | ยาวนานกว่า (สูงสุด 4 เท่า) | สั้นกว่า |
| ประสิทธิภาพการชาร์จ | เร็วและสะดวก | ช้ากว่า |
| การบำรุงรักษา | น้อยมาก | ต้องดูแลสม่ำเสมอ |
| น้ำหนัก | เบากว่า | หนักกว่า |
| ต้นทุนเริ่มต้น | สูงกว่า | ต่ำกว่า |
| ต้นทุนรวมตลอดอายุใช้งาน | ต่ำกว่า | สูงกว่า |
การเปลี่ยนมาใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนอาจมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่สูงกว่า แต่เมื่อพิจารณาถึงอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า ประสิทธิภาพที่ดีกว่า และการบำรุงรักษาที่น้อยกว่า ทำให้ต้นทุนรวมตลอดอายุการใช้งานนั้นคุ้มค่ากว่าแบตเตอรี่แบบดั้งเดิมอย่างเห็นได้ชัดครับ
รุ่นรถโฟล์คลิฟท์ที่แนะนำสำหรับคลังสินค้า
การเลือกรถโฟล์คลิฟท์ที่ใช่สำหรับคลังสินค้าของคุณเป็นเรื่องสำคัญมากครับ มันไม่ใช่แค่การเลือกเครื่องจักรมาใช้งาน แต่เป็นการลงทุนที่จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมเลยทีเดียว ในตลาดตอนนี้มีรถโฟล์คลิฟท์หลายรุ่น หลายยี่ห้อให้เลือก ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีจุดเด่นต่างกันไป วันนี้เราจะมาดูรุ่นที่น่าสนใจและเหมาะกับคลังสินค้าขนาดใหญ่กันครับ
รถ Reach Truck (ยืนขับ)
สำหรับคลังสินค้าที่เน้นการจัดเก็บสินค้าในที่สูงและต้องการความคล่องตัวสูง รถ Reach Truck แบบยืนขับถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากครับ รุ่นนี้ออกแบบมาเพื่อการทำงานในทางเดินแคบๆ โดยเฉพาะ ทำให้คุณสามารถใช้พื้นที่คลังสินค้าได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด
- ความสามารถในการยกสูง: เหมาะสำหรับคลังสินค้าที่มีชั้นวางสูงมากๆ
- ความคล่องตัว: สามารถเลี้ยวและเข้าออกทางเดินแคบๆ ได้ดีเยี่ยม
- การมองเห็น: ผู้ขับขี่ที่อยู่ในตำแหน่งยืน ทำให้มองเห็นสินค้าและสภาพแวดล้อมได้ดี
รถ Reach Truck (นั่งขับ)
ถ้าคลังสินค้าของคุณมีพื้นที่กว้างขึ้นมาหน่อย หรือพนักงานต้องขับรถเป็นระยะทางไกลๆ การเลือกรถ Reach Truck แบบนั่งขับก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ การนั่งขับจะช่วยลดความเมื่อยล้าของผู้ปฏิบัติงาน ทำให้ทำงานได้ต่อเนื่องยาวนานขึ้น
- ความสบายของผู้ขับขี่: เหมาะสำหรับการทำงานที่ต้องใช้เวลานาน
- การควบคุมที่มั่นคง: ให้ความรู้สึกมั่นคงในการขับขี่
- ประสิทธิภาพการทำงาน: ยังคงความสามารถในการยกสูงและทำงานในทางเดินที่ค่อนข้างแคบได้ดี
รถ Reach Truck รุ่น ULS/UND/UMS/UHD/UHX
กลุ่มรถ Reach Truck รุ่นนี้มีความหลากหลายมากครับ ตั้งแต่รุ่นที่เน้นความกะทัดรัดไปจนถึงรุ่นที่รองรับการยกของหนักและสูงเป็นพิเศษ การเลือกรุ่นย่อยในกลุ่มนี้ต้องพิจารณาจากลักษณะงานจริงเป็นหลัก เช่น:
- ULS/UND: เหมาะสำหรับงานทั่วไปที่ต้องการความคล่องตัวและราคาที่เข้าถึงง่าย
- UMS/UHD: สำหรับงานที่ต้องการสมรรถนะสูงขึ้น รองรับน้ำหนักและยกได้สูงขึ้น
- UHX: รุ่นท็อปที่ออกแบบมาเพื่องานที่ท้าทายที่สุด รองรับการยกน้ำหนักมากเป็นพิเศษและทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความทนทานสูง
การเลือกรถโฟล์คลิฟท์ที่เหมาะสมกับงาน จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดความเสียหายของสินค้า และที่สำคัญที่สุดคือช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับพนักงานในคลังสินค้าของคุณครับ
สรุปส่งท้าย: เลือกรถโฟล์คลิฟท์ให้เหมาะกับคลังสินค้าของคุณ
สรุปแล้ว การเลือกรถโฟล์คลิฟท์สำหรับคลังสินค้าขนาดใหญ่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ มันมีหลายอย่างที่ต้องคิด ทั้งเรื่องน้ำหนักที่จะยก ความสูงของชั้นวาง ไปจนถึงสภาพแวดล้อมการทำงาน รถรุ่นเก่าอาจจะยังพอใช้ได้ แต่รุ่นใหม่ๆ นี่เขาพัฒนาไปเยอะจริงๆ ทั้งเรื่องความประหยัดพลังงาน ความปลอดภัย หรือแม้แต่การควบคุมที่ง่ายขึ้น ถ้าคลังสินค้าของคุณมีพื้นที่จำกัดมากๆ รถ Reach Truck อาจจะเป็นคำตอบที่ดี หรือถ้าเน้นงานหนักๆ รถดีเซลก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ถ้าอยากได้อะไรที่เงียบ สะอาด และดูแลรักษาง่าย รถไฟฟ้าก็มาแรงไม่แพ้กัน สุดท้ายแล้ว การเลือกที่ใช่ที่สุดก็ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของแต่ละที่แหละครับ ลองพิจารณาดูดีๆ แล้วกันนะ
คำถามที่พบบ่อย
รถ Reach Truck กับรถโฟล์คลิฟท์ธรรมดาต่างกันยังไง?
รถ Reach Truck จะมีขนาดเล็กกว่าและคล่องตัวกว่า เหมาะกับที่แคบๆ ส่วนรถโฟล์คลิฟท์ธรรมดา (Counter Balance) จะใหญ่กว่า ยกของหนักได้เยอะกว่า แต่ก็ต้องการพื้นที่มากกว่าในการทำงาน
รถโฟล์คลิฟท์แบบไหนเหมาะกับคลังสินค้าที่ของเยอะๆ?
ถ้าคลังสินค้าของคุณมีทางเดินแคบๆ และต้องการยกของขึ้นที่สูงมากๆ รถ Reach Truck จะตอบโจทย์ได้ดีกว่า เพราะมันออกแบบมาให้เข้าถึงที่แคบได้ง่ายและยกของได้สูง แต่ถ้าพื้นที่กว้างและของหนักมาก รถโฟล์คลิฟท์แบบ Counter Balance อาจจะเหมาะกว่า
รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้ากับดีเซล อันไหนดีกว่ากัน?
รถไฟฟ้าจะเงียบกว่า ไม่ปล่อยควัน เหมาะกับที่ในร่มอย่างคลังสินค้า ส่วนรถดีเซลจะทนทานกว่า แรงเยอะกว่า เหมาะกับงานกลางแจ้งหรืองานหนักๆ ครับ
แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนดีกว่าแบตเตอรี่แบบเก่าจริงเหรอ?
ใช่ครับ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจะเก็บไฟได้นานกว่า ชาร์จเร็ว ชาร์จได้บ่อยๆ และอายุการใช้งานยาวนานกว่าแบตเตอรี่แบบเก่า ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้เยอะเลย
ถ้าจะเลือกรถโฟล์คลิฟท์ ต้องดูอะไรบ้าง?
ต้องดูว่าของที่จะยกหนักแค่ไหน สูงเท่าไหร่ พื้นที่ทำงานเป็นแบบไหน (ในร่ม กลางแจ้ง ทางแคบ ทางกว้าง) แล้วก็ดูเรื่องความปลอดภัยและงบประมาณด้วยครับ
รถโฟล์คลิฟท์ LPG ดีไหม?
รถ LPG ก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ ราคาเชื้อเพลิงไม่แพงมากนัก ทำงานได้ทั้งในร่มและกลางแจ้ง เสียงไม่ดังเท่าดีเซล แต่ก็ต้องคอยเติมแก๊สบ่อยหน่อยครับ