การดูแลรักษารถยกให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอเป็นเรื่องสำคัญมากครับ โดยเฉพาะระบบไฮดรอลิก ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการทำงานของรถยก การตรวจสอบน้ำมันไฮดรอลิกรถยกอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เราทราบถึงสภาพของระบบ และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ บทความนี้จะพาไปดูวิธีตรวจเช็คน้ำมันไฮดรอลิกในรถยกอย่างถูกต้อง เพื่อให้รถของคุณทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและปลอดภัยครับ
สาระสำคัญ
- การตรวจเช็คน้ำมันไฮดรอลิกในรถยกควรเริ่มจากการเตรียมเครื่องมือและคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก
- สภาพที่ดีของน้ำมันไฮดรอลิกสังเกตได้จากสี ความใส กลิ่น และความหนืดที่เหมาะสมกับการใช้งาน
- การตรวจระดับน้ำมันไฮดรอลิกต้องทำอย่างแม่นยำในตำแหน่งที่ถูกต้องและช่วงเวลาที่เหมาะสม
- การปนเปื้อนในน้ำมันไฮดรอลิก เช่น เศษโลหะหรือน้ำ สามารถสังเกตได้จากลักษณะภายนอกและทำการทดสอบเบื้องต้นได้
- การตรวจสอบการรั่วซึมตามจุดเชื่อมต่อและสภาพซีล รวมถึงการเลือกเกรดน้ำมันที่ถูกต้องและการเปลี่ยนถ่ายตามรอบเป็นสิ่งจำเป็น
การเตรียมความพร้อมก่อนตรวจเช็คในพื้นที่ทำงาน

ก่อนจะเปิดฝาถังหรือแตะต้องระบบไฮดรอลิกของรถยก สิ่งที่ต้องทำก่อนคือเตรียมพื้นที่ คน และเครื่องมือให้พร้อม เพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกหลุดเข้าไปในระบบหรือเกิดอุบัติเหตุโดยไม่ตั้งใจ การเตรียมพื้นที่และอุปกรณ์ให้สะอาดก่อนเปิดระบบ คือวิธีลดความเสียหายและอุบัติเหตุได้มากที่สุด
อย่าคิดว่า “เปิดดูแป๊บเดียว” แล้วปล่อยผ่าน ความรีบมักพาให้หลุดขั้นตอนเล็กๆ ที่ทำให้ต้องซ่อมใหญ่ทีหลัง
เครื่องมือพื้นฐานสำหรับงานตรวจสอบ
- ผ้าสะอาดไม่เป็นขุย, กระดาษทิชชูอุตสาหกรรม และแผ่นซับน้ำมัน (ดูดซับหยดน้ำมันไฮดรอลิกรถยกและเช็ดรอยสกปรกก่อนเปิดฝา)
- ไฟฉายหรือโคมพกพา (ส่องดูสี ความใส คราบตะกอนบริเวณปากถัง/กระปุก)
- กรวยกรองละเอียดและภาชนะสะอาดมีฝาปิด (รองรับและเทกลับโดยไม่ปนเปื้อน)
- ขวดตัวอย่างแบบใสพร้อมสติ๊กเกอร์จดบันทึก (เก็บตัวอย่างเพื่อตรวจภาคสนามหรือส่งห้องแล็บ)
- แม่เหล็กชิ้นเล็กสะอาด (เช็คผงโลหะในตะกอน)
- เทอร์โมมิเตอร์อินฟราเรด/ปากกาเทอร์โม (ดูอุณหภูมิน้ำมันไฮดรอลิกรถยกขณะตรวจ)
- PPE: ถุงมือไนไตร แว่นตานิรภัย รองเท้านิรภัย หน้ากากอนามัยเมื่อทำในที่ฝุ่นมาก
- ชุดอุดรอยหกรั่วไหลและผงดูดซับ (spill kit)
- การ์ด/ป้ายแขวน LOTO (ล็อกกุญแจ/ตัดไฟกรณีต้องทำกับท่อแรงดัน)
- การ์ดแข็งสีขาวหรือจานเพเทรี (สังเกตสีและความใสของหยดน้ำมัน)
- เครื่องมืออ่านระดับ เช่น ดิปสติ๊ก ของถังหรือเกจระดับแบบใสของผู้ผลิต
ตารางสรุปเครื่องมือและการใช้งาน
เครื่องมือ | ใช้ทำอะไร |
---|---|
ผ้าไม่เป็นขุย/แผ่นซับ | เช็ดบริเวณฝาถังและซับน้ำมันที่หก |
ขวดตัวอย่างใส | เก็บตัวอย่างเพื่อตรวจสี กลิ่น ตะกอน |
แม่เหล็กเล็ก | ตรวจเศษผงโลหะจากการสึกหรอ |
เทอร์โมมิเตอร์ | เช็คอุณหภูมิน้ำมันก่อนประเมินความหนืด |
กรวยกรองละเอียด | ลดการปนเปื้อนขณะเติม/เทกลับ |
ขั้นตอนความปลอดภัยขณะทำงานกับแรงดัน
- จอดรถยกบนพื้นเรียบ ลดงาลงสุด ใส่เกียร์ว่าง ดึงเบรกมือ และกั้นพื้นที่ทำงาน
- ปิดเครื่องและถอดกุญแจ (รถไฟฟ้าควรถอดขั้วแบตเตอรี่ตามคู่มือ) รอให้น้ำมันนิ่งก่อน 5–10 นาที
- คลายแรงดันค้าง: ขณะเครื่องดับ ลองโยกคันควบคุมยก/เอียงช้าๆ ให้แรงดันตก
- ตรวจรอบฝาถังและข้อต่อว่ามีสิ่งสกปรก ตะกรัน หรือฝุ่นเกาะ ใช้ผ้าไม่เป็นขุยเช็ดให้สะอาดก่อนเปิดเสมอ
- สวม PPE ให้ครบ โดยเฉพาะแว่นตาและถุงมือไนไตร หลีกเลี่ยงผ้าเช็ดมือที่เป็นขุย
- ห้ามยืนแนวเดียวกับจุดต่อแรงดันเมื่อคลายข้อต่อ หรือเปิดปลั๊กเติมน้ำมัน
- หลีกเลี่ยงเปลวไฟและประกายไฟ ใช้พัดลมระบายอากาศเมื่อทำงานในที่อับอากาศ
- เตรียมชุดอุดรอยหกรั่วไว้ข้างตัว หากมีการหก ให้กั้นพื้นที่ทันทีและทำความสะอาดหลังจบงาน
แนวทางย่อเพื่อความปลอดภัย
- ทำตามคู่มือผู้ผลิตของรุ่นรถยกนั้นๆ หากข้อกำหนดต่างจากแนวทางทั่วไป ให้ยึดคู่มือเป็นหลัก
- หากต้องเปิดระบบท่อหรือกรองแรงดัน ให้ทำ LOTO และปลดแรงดันทุกครั้ง
- ห้ามเปิดฝาถังขณะระบบยังทำงานหรืออุณหภูมิสูงผิดปกติ
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการตรวจน้ำมัน
- พื้นที่สะอาด ปลอดฝุ่น ลมไม่ปะทะแรง ลดโอกาสฝุ่นหล่นเข้าถัง
- แสงสว่างพอ (มองเห็นสีและความใสของหยดน้ำมันได้ชัด) มีพื้นวางอุปกรณ์ที่สะอาด
- อุณหภูมิกลางๆ ไม่ร้อนจัดหรือเย็นจัด เพื่ออ่านระดับและสังเกตความหนืดได้ใกล้เคียงการใช้งานจริง
- พื้นเรียบ ไม่เอียง เพื่ออ่านระดับได้แม่นยำ
ข้อแนะนำค่ากำกับสภาพแวดล้อม (ปรับตามหน้างานได้)
ปัจจัย | ช่วงที่แนะนำ |
---|---|
อุณหภูมิพื้นที่ตรวจ | 20–35°C |
ความสว่าง | ≥ 500 ลักซ์ หรือเทียบเท่าแสงสำนักงานสว่าง |
ความเอียงของพื้น | < 1° |
ความสะอาดพื้นโต๊ะทำงาน | ปราศจากฝุ่น/ผง/เศษโลหะก่อนเริ่มตรวจ |
สรุปสั้นๆ: เตรียมเครื่องมือครบ สวมอุปกรณ์ป้องกัน คลายแรงดันค้าง และทำในพื้นที่สะอาดสว่างพอ แค่นี้การตรวจน้ำมันไฮดรอลิกก็แม่นขึ้นและเปื้อนน้อยลงมากครับ/ค่ะ
เกณฑ์สภาพดีของน้ำมันไฮดรอลิกรถยก
น้ำมันดีช่วยให้ระบบทำงานลื่น ไม่เสียแรง และยืดอายุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการยกและเอียงงาได้ยาวขึ้นในชีวิตจริงที่หน้างาน
น้ำมันไฮดรอลิกที่ดีทำให้ยกได้ลื่น ลดการสึกหรอ และประหยัดงบซ่อม
เป้าหมายของการดูแลรถโฟล์คลิฟท์ คือคงสภาพน้ำมันให้สะอาด แห้ง ใส และมีค่า ความหนืด ตรงตามคู่มือผู้ผลิต
สีและความใสที่บ่งบอกคุณภาพ
สีกับความใสช่วยชี้สภาพน้ำมันได้ไวมาก ไม่ต้องใช้เครื่องมือเยอะก็พอจับทางได้
- สีปกติ: เหลืองอำพันถึงใส มองทะลุได้ ไม่มีฝ้า ไม่มีฟองค้าง
- สีคล้ำ/ดำ: บ่งบอกการเสื่อมจากความร้อนหรือออกซิเดชัน มักพาให้เกิดคราบยางเหนียวในวาล์ว
- สีขุ่นหรือออกน้ำนม: มีน้ำปน เกิดอิมัลชัน เสี่ยงสนิมและแรงดันตก
- เงาวาวระยิบ: อาจมีเศษโลหะจากการสึกหรอ ตรวจไส้กรองและปั๊มเพิ่ม
วิธีสังเกตเร็วๆ ที่หน้างาน:
- ส่องไฟฉายในขวดตัวอย่าง ต้องเห็นใส ไม่ฟุ้งเป็นฝุ่นเม็ดเล็ก
- ปล่อยหยดบนกระดาษขาว วงแหวนควรสม่ำเสมอ ไม่แยกชั้นน้ำ
- เขย่าเบาๆ ฟองต้องหายเร็ว ไม่ค้างบนผิวนาน
กลิ่นและสัญญาณการเสื่อมสภาพ
จมูกช่วยได้มากกว่าที่คิด กลิ่นแปลกคือสัญญาณเตือนต้นทางของปัญหาใหญ่
- กลิ่นไหม้: เคยเจออุณหภูมิสูง น่าจะมีการเสื่อมในสารเพิ่มคุณภาพ เปลี่ยนน้ำมันและเช็คระบบระบายความร้อนน้ำมัน
- กลิ่นหืน/ยาง: มีคราบวาร์นิช เกาะวาล์วและสไลด์ ทำให้ตอบสนองช้า
- กลิ่นเชื้อเพลิงหรือสารทำความสะอาด: เสี่ยงซีลบวมและการหล่อลื่นตก ตรวจหาที่มาของการปนเปื้อน
อาการที่มักโผล่มาคู่กัน:
- ปั๊มดังหอน ยกกระตุก หรือการควบคุมหนืดผิดปกติ
- วาล์วติดเหนียว เวลาใช้งานต่อเนื่องอาการหนักขึ้น
- อุณหภูมิน้ำมันสูงผิดปกติ ทั้งๆ ที่โหลดงานเท่าเดิม
เคล็ดลับสั้นๆ: เปิดฝาเติมช้าๆ หลังดับเครื่องรอให้นิ่ง ลดโอกาสฟองอากาศ และเก็บตัวอย่างตอนเครื่องอุ่นจะอ่านสภาพได้ตรงกว่า
ความหนืดที่เหมาะกับการทำงาน
ความหนืดสัมพันธ์โดยตรงกับแรงยก การหล่อลื่น และอุณหภูมิทำงาน ถ้าบางเกินไป แรงดันรั่วไหลง่าย พอร้อนแล้วแรงยกตก แต่ถ้าข้นเกินไป ตอนเครื่องเย็นจะดูดไม่ทัน เสียงปั๊มดังและแขนยกช้า
ตารางเลือกเกรด (อ้างอิงการใช้งานทั่วไป ตรวจคู่มือผู้ผลิตเป็นหลัก)
อุณหภูมิแวดล้อม | เกรดที่พบได้บ่อย (ISO VG) | หมายเหตุการใช้งาน |
---|---|---|
ต่ำกว่า 0°C | VG 32 | สตาร์ทง่าย ตอบสนองไวเมื่ออากาศหนาว |
0–35°C | VG 46 | โกดัง/สนามทั่วไป ใช้ได้กว้าง |
สูงกว่า 35°C หรือภาระงานหนัก | VG 68 | รักษาฟิล์มหล่อลื่นตอนร้อน ลดแรงตก |
สัญญาณว่าเกรดไม่เหมาะกับหน้างาน:
- ช่วงเช้าเย็นจัด แขนยกหน่วง เสียงดูดอากาศในปั๊ม (หนืดเกิน)
- ทำงานนานๆ แรงยกค่อยๆ ตก งายกค้างไม่อยู่ (น้ำมันบางเกินเมื่อร้อน)
- เทอร์โมมิเตอร์ถังน้ำมันขึ้นเร็วผิดปกติ
แนวทางเลือกและใช้งานให้ยาวๆ:
- เลือกน้ำมันชนิด AW (ลดการสึกหรอ) ที่มีสารต้านโฟม ต้านสนิม และแยกน้ำได้ดี
- หากทำงานกลางแจ้งอุณหภูมิเหวี่ยง เลือกน้ำมันดัชนีความหนืดสูง (VI สูง)
- เปลี่ยนไส้กรองตามชั่วโมงใช้งาน และเก็บตัวอย่างตรวจเชิงป้องกันระหว่างรอบเปลี่ยน
การดูแลรถโฟล์คลิฟท์ แบบสม่ำเสมอด้วยการดูสี กลิ่น และความหนืดของน้ำมัน จะช่วยลดเหตุเสียแบบไม่ทันตั้งตัว และวางแผนบำรุงรักษาได้ง่ายขึ้น
วิธีตรวจระดับน้ำมันไฮดรอลิกรถยกอย่างแม่นยำ
การอ่านระดับให้แม่น ไม่ได้ยากแต่ต้องมีขั้นตอนที่สม่ำเสมอ พื้นที่ต้องราบ อุปกรณ์พร้อม และอ่านตามสภาพอุณหภูมิของระบบ เพราะน้ำมันขยายตัวเมื่อร้อน
ตำแหน่งจุดวัดและภาชนะสำรอง
- ตำแหน่งอ่านหลัก: กระจกดูระดับ (sight glass) ข้างถังน้ำมัน หรือก้านวัดระดับแบบ dipstick ที่คอถัง
- จุดเปิดเติม: ฝาถังน้ำมันไฮดรอลิก มักมีตะแกรง/ช่องลม ตรวจให้สะอาดก่อนเปิดทุกครั้ง
- ภาชนะสำรอง: ถาดหรือกระบอกสะอาดสำหรับเก็บตัวอย่าง/รองน้ำที่ล้น และกรวยกรองละเอียดสำหรับเติมกลับ
- ผ้าไร้ขุย/สเปรย์ทำความสะอาด: เช็ดรอบฝาถังและบริเวณอ่านระดับก่อนตรวจเพื่อกันฝุ่นตกลงถัง
- ขั้นตอนสั้นๆ
- จอดบนพื้นราบ ลดงาลงสุด ตั้งเสาตรง ไม่บรรทุกและดับเครื่อง
- ปลดแรงดันระบบโดยขยับก้านควบคุมให้เป็นกลาง 2–3 วินาที
- เช็ดจุดอ่านระดับให้ใส แล้วอ่านระดับจากกระจก/ก้านวัดตามขีดที่กำกับ (COLD/HOT)
- ถ้าต้องเติม ใช้น้ำมันเกรดเดียวกับที่ใช้อยู่ เติมทีละน้อยแล้วรอให้ระดับนิ่งก่อนอ่านซ้ำ
- บันทึกชั่วโมงการใช้งานและปริมาณที่เติมไว้ในสมุดบำรุงรักษา
ตรวจบนพื้นราบ งาลดต่ำสุด เครื่องดับ และปลดแรงดันก่อนอ่านระดับทุกครั้ง
เคล็ดลับ: ก่อนเปิดฝาถัง ให้เป่าลมหรือเช็ดฝุ่นรอบๆ เสมอ เศษผงเล็กๆ เข้าไปเพียงนิดเดียวก็เร่งการสึกของปั๊มและวาล์วได้
ช่วงเวลาที่ควรตรวจในแต่ละวัน
- ก่อนเริ่มกะ: อ่านระดับแบบ “เย็น” เพื่อดูว่าพร้อมใช้งานหรือไม่
- หลังงานยกหนักต่อเนื่อง: เช็กซ้ำเมื่อระบบอุ่น เพื่อดูแนวโน้มการลดลงผิดปกติ
- หลังเติม/ซ่อมระบบไฮดรอลิก: ตรวจทันทีหลังอากาศไล่ออกและรอระดับนิ่ง
- เมื่อมีอาการงายกช้า เสียงปั๊มเปลี่ยน หรือสังเกตเห็นคราบรั่ว
- เวลารออ่าน: หลังหยุดใช้งานให้พักประมาณ 5–10 นาที เพื่อให้ฟองอากาศยุบและน้ำมันไหลกลับถัง
ความสูงของระดับที่ปลอดภัย
ตารางอ้างอิงสำหรับการอ่านระดับในสถานการณ์ทั่วไป (อาจต่างกันเล็กน้อยตามคู่มือรุ่นรถ):
สภาพระบบ | จุดอ่านระดับ | ระดับที่แนะนำ |
---|---|---|
เย็น (ยังไม่ใช้งาน) | ขีด COLD หรือกลางกระจก | ราว 40–60% ของหน้าต่างกระจก หรือต่ำกว่า MAX ประมาณ 5–10 มม. |
ร้อน (ใช้งานมา 10–15 นาที) | ขีด HOT | ใกล้ขีด HOT แต่ไม่เกิน MAX และต้องไม่ล้นฝาถัง |
ไม่มีหน้าต่าง (ใช้ก้านวัด) | ก้านวัดมีขีด LOW/HIGH | ระดับอยู่ระหว่าง LOW–HIGH ไม่แตะ HIGH เมื่อร้อน |
ข้อควรทำเพิ่ม
- ห้ามเติมเกิน เพราะเมื่อน้ำมันร้อนจะขยายตัวและล้น ทำให้ซีลและโอริงสึกเร็ว
- ไม่ผสมเกรด/ยี่ห้อต่างกันโดยไม่จำเป็น หากจำเป็นต้องผสมให้เป็นชนิดเดียวกันและบันทึกไว้
- เติมทีละ 100–200 มล. แล้วรอระดับนิ่งก่อนอ่านซ้ำ
- หากต้องเติมบ่อย ให้ตรวจการรั่วซึมที่ท่อ ข้อต่อ ซีล กระบอกยก และฝาถัง
หมายเหตุ: ให้ยึดค่าตามคู่มือรุ่นรถยกเป็นหลัก หากคู่มือกำหนดท่าทางเสา/งาในการอ่านระดับเฉพาะ ให้ทำตามนั้นเสมอ
การตรวจปนเปื้อนในน้ำมันไฮดรอลิกรถยก

การปนเปื้อนในน้ำมันไฮดรอลิกทำให้วาล์วค้าง ปั๊มสึก และแรงดันตกแบบงงๆ ตรวจบ่อยๆ ใช้เวลาไม่นาน แต่ช่วยลดงานเสียและหยุดเครื่องได้มาก การปนเปื้อนเล็กน้อยวันนี้อาจกลายเป็นค่าซ่อมใหญ่พรุ่งนี้.
เลือกเก็บตัวอย่างจากระดับกลางถัง ไม่ใช่ปากถังหรือก้นถัง เพื่ออ่านค่าที่ใกล้เคียงจริงที่สุด
การพบคราบตะกอนและเศษโลหะ
- เปิดฝาถังและส่องด้วยไฟฉาย เขย่าท่อหรือสายเล็กน้อยแล้วดูว่ามีผงแววๆ หรือคราบดำหนืดลอย/ตกตะกอนหรือไม่
- ใช้แม่เหล็กหุ้มถุงพลาสติกแตะก้นภาชนะตัวอย่าง ดึงขึ้นดูว่าเกาะผงเหล็กหรือเศษโลหะหรือไม่ (ดึงถุงออกทิ้ง ง่ายต่อการสังเกต)
- หยดน้ำมันผ่านกระดาษกรองหรือผ้าขาวสะอาด หากทิ้งคราบทราย เม็ดแกร่ง หรือผงสีทองแดง อาจมีการสึกในบูช/แบริ่ง
- เปิดไส้กรองเก่าผ่าดูจีบกระดาษ ถ้ามีผงโลหะหนาแน่น แสดงว่าการสึกกำลังเกิดแบบต่อเนื่อง
ตารางอ่านค่าคร่าวๆ จากลักษณะสิ่งปนเปื้อน
สิ่งที่เห็น/จับต้องได้ | ความหมายที่เป็นไปได้ | วิธีจัดการทันที |
---|---|---|
ผงสีเทาเข้มติดแม่เหล็ก | การสึกของเฟืองปั๊ม/มอเตอร์ | เปลี่ยนน้ำมัน+ไส้กรอง ตรวจแบ็กแลชปั๊ม |
เศษแววสีทอง/ทองแดง | บูชบรอนซ์หรือวาล์วสวม | เก็บตัวอย่างส่งแลบ ตรวจคลีย์รันซ์ และวางแผนโอเวอร์ฮอล |
คราบดำข้น ไม่มีประกาย | ออกซิเดชัน/ตะกอน additive | เปลี่ยนถ่าย ล้างถัง ทำความสะอาดไส้กรองดูดกลับ |
เม็ดทราย/ฝุ่นหยาบ | การกรองไม่ดี/ช่องลมหายใจสกปรก | ตรวจซีลฝาถัง ซีลแกน ตรวจกรองให้ละเอียดขึ้น |
สัญญาณน้ำปนในระบบไฮดรอลิก
- สีขุ่นน้ำนม เกิดจากน้ำจับตัวกับน้ำมันเป็น อิมัลชัน ระบบจะตอบสนองช้าและเกิดฟองง่าย
- หยดบนแผ่นโลหะอุ่นแล้วมีเสียงแตกปะทุ แปลว่ามีน้ำอิสระเจือปนพอสมควร
- จุดสนิมที่ผนังถัง/ฝาปิด ไส้กรองขึ้นสนิม หรือมีหยดน้ำแยกชั้นที่ก้นขวดตัวอย่าง
- ปั๊มมีเสียงดังขึ้นช่วงเริ่มงานตอนเช้า แล้วค่อยเงียบเมื่อน้ำมันอุ่น นี่มักมาจากน้ำรวมตัวกับอากาศ
แนวทางแก้แบบเร็ว
- ระบายก้นถังทิ้งส่วนล่าง 100–200 มล. หลังจอดข้ามคืน เพื่อไล่น้ำที่ตกชั้น
- เปลี่ยนไส้กรอง และตรวจช่องลมหายใจถัง (breather) ถ้ามีกลิ่นชื้นหรืออุดตันให้เปลี่ยนใหม่
- ตรวจจุดที่น้ำอาจเข้าระบบ: ซีลกระบอกที่โดนน้ำล้างแรงดันสูง ฝาถังที่ปะเก็นชำรุด ท่อดูดที่แคล้มป์หลวม
แนวทางทดสอบภาคสนามแบบง่าย
- ขวดใสทดสอบ (jar test)
- อุปกรณ์: ขวดแก้ว/พีอีทีใสสะอาด ฝาปิดแน่น
- วิธี: ตักจากระดับกลางถัง ปิดฝา เขย่าเบาๆ พัก 10–30 นาที สังเกตการแยกชั้น ตะกอน และประกายผงโลหะเมื่อส่องไฟฉาย
- อ่านค่า: มีชั้นใสกว่าที่ก้น/ฟองถาวร/ตะกอนมาก ควรเปลี่ยนถ่ายและล้างถัง
- คราเคิลเทสต์ บนแผ่นโลหะอุ่น
- อุปกรณ์: แผ่นเหล็ก/หัวแร้งแท่นวาง, ถุงมือ, แว่นตา
- วิธี: อุ่นพื้นโลหะให้ร้อนปานกลาง หยดน้ำมัน 1 หยด ถ้ามีเสียงแตกหรือกระเด็น แสดงว่ามีน้ำ
- หมายเหตุ: ทำในที่โล่ง ระวังไอระเหยและการกระเด็น
- บลอตเตอร์เทสต์ (หยดบนกระดาษ)
- อุปกรณ์: กระดาษขาวไม่เคลือบ
- วิธี: หยดน้ำมัน 1–2 หยด รอ 15 นาที วงชั้นนอกใสแบบน้ำ บวกกับจุดกลางขุ่นเข้ม แปลว่ามีน้ำหรือเขม่า/ตะกอน
- ทดสอบแม่เหล็กแบบกึ่งปริมาณ
- อุปกรณ์: แม่เหล็กถาวรหุ้มถุง
- วิธี: กวาดที่ก้นขวดตัวอย่าง 10 วินาที แล้วเทียบปริมาณผงที่ติด ถ้าติดหนาเป็นคราบ ควรหยุดใช้งานชั่วคราวและตรวจสาเหตุการสึก
เคล็ดลับการตัดสินใจ
- ถ้ามีน้ำชัดเจนหรือผงโลหะเพิ่มขึ้นจากครั้งก่อน: เปลี่ยนถ่ายทันทีและเปิดไส้กรองตรวจภายใน
- ถ้าอาการไม่ชัด แต่เริ่มขุ่นและมีฟอง: ใช้มาตรการแก้ปลายเหตุชั่วคราว (ระบายก้นถัง เปลี่ยนกรอง) แล้วนัดส่งตัวอย่างตรวจละเอียด
- เก็บบันทึกภาพ-วิดีโอทุกครั้งที่ทดสอบ เทียบแนวโน้มจะช่วยตัดสินใจได้ไวขึ้น
การตรวจการรั่วซึมและจุดเชื่อมต่อระบบไฮดรอลิก
รอยรั่วเล็กน้อยทำให้แรงยกลด พื้นเลอะ และเสี่ยงทำให้ชิ้นส่วนพังเร็วขึ้น ตรวจให้เป็นขั้นตอน แล้วคุณจะเจอต้นตอไวขึ้นมากกว่าการส่องดูแบบผ่านๆ
ปิดเครื่อง ลดแรงดัน วางงาลงสุด ใส่ถุงมือ-แว่นตา และติดป้ายห้ามใช้งานชั่วคราวก่อนเริ่มทุกครั้ง ห้ามคลายน็อตหรือข้อต่อทุกชนิดขณะระบบยังมีแรงดัน
ตำแหน่งเสี่ยงการรั่วในสายท่อและข้อต่อ
- สายท่อบริเวณโค้งแคบ ใต้แคลมป์ หรือตำแหน่งที่มีการเสียดสีจนยางสึก บวม แตก หรือมีรอยดันโป่ง
- ข้อต่อที่ปั๊ม วาล์วบล็อก ตัวกรอง และทางออก-ทางเข้าถังน้ำมัน เกิดได้จากแรงบิดไม่ถึงสเปกหรือซีลเสื่อม
- กระบอกยก/เอียง: ซีลแกนและซีลปากฝุ่น โดยเฉพาะแกนที่มีรอยสึกหรือคราบสนิมจะเริ่มซึมเป็นวง
- ควิกคัปเปลอร์และปลายสายแบบเกลียว ลองเขย่าเบาๆ หากมีคลอนไหวมักเริ่มซึม
- ซีลเพลาปั๊มและรูระบายซีลของปั๊ม พบคราบใหม่ๆ ใต้ตัวปั๊มมักชี้ไปที่ซีลเพลารั่ว
- เกจระดับ/ท่อใสกลับถัง ฝาเติม-ฝาระบายอากาศ (breather) ที่อุดตันจะดันน้ำมันซึมออกตามจุดอ่อน
แนวทางทำความสะอาดเพื่อหาจุดรั่ว
- ลดแรงดันให้หมด ใช้น้ำยาล้างคราบน้ำมันชนิดระเหยเร็วกับผ้าไม่เป็นขุย เช็ดให้แห้งสนิททีละโซน
- โรยแป้งทัลคัมบางๆ หรือใช้สเปรย์ตรวจรั่ว จากนั้นสตาร์ทและขยับระบบช่วงสั้นๆ เพื่อให้รอยรั่วสร้างรอยทางใหม่
- ทำเครื่องหมายตำแหน่งที่เริ่มชื้นก่อนเสมอ แล้วค่อยไล่ไปถึงแหล่งกำเนิดจริง (เหนือจุดหยดมักเป็นต้นเหตุ)
- ตรวจแรงบิดน็อต/คัปปลิ้งตามคู่มือ อย่าขันเกิน หากรั่วที่เกลียว ใช้เธรดซีลแลนต์ที่เข้ากันกับน้ำมันไฮดรอลิก
- จัดระยะสายให้พ้นการเสียดสี เพิ่มปลอกกันสึก และแก้ไขรัศมีโค้งให้กว้างขึ้น
- เก็บกากน้ำมันและเช็ดพื้นทันที ลดโอกาสลื่นล้มและไม่ให้คราบใหม่มาปนการตรวจครั้งถัดไป
การประเมินความเสียหายของซีลและโอริง
- แกนกระบอก: หากมีรอยขีด คราบสนิม หรือผิวด้าน จะกินซีลเร็ว เปลี่ยนซีลแกนและแก้สภาพผิวแกน (ขัด/ชุบ) หรือเปลี่ยนแกนเมื่อรอยลึก
- ซีลริมฝีปากแข็งตัว บวม หรือขอบแบน เกิดจากความร้อนหรือน้ำปน แนะนำเปลี่ยนทั้งชุดพร้อมตรวจอุณหภูมิการทำงานและระบายความร้อน
- โอริง ที่แบน แตก หรือโดนเฉือน มักมาจากประกอบผิด ทาจาระบีไม่พอ หรือเลือกวัสดุไม่ตรงงาน เลือกขนาด/วัสดุ (เช่น NBR, FKM) ให้ตรงกับอุณหภูมิและชนิดน้ำมัน
- บูชนำแกนและไกด์ริงหลวม ทำให้แกนแกว่ง ซีลเสียเร็ว ตรวจระยะคลอนและเปลี่ยนคู่กัน
- ซีลเพลาปั๊ม: มีคราบออกที่รูระบายซีล ถือว่าเสียแล้ว ควรเปลี่ยนทันทีและเช็คแนวศูนย์ของเพลา
ตารางสรุประดับการรั่วและการตัดสินใจแบบเร็ว
ระดับการรั่ว | อาการที่เห็น | ใช้งานต่อชั่วคราว | การจัดการ |
---|---|---|---|
ซึมเป็นฟิล์ม | ผิวชื้น ไม่มีหยดตก | ได้ แต่เฝ้าดูใกล้ชิด | ทำความสะอาด ตรวจแรงบิด และนัดเปลี่ยนซีลเร็วๆ |
หยดเป็นเม็ด | มีหยดตกพื้นเป็นช่วงๆ | ไม่แนะนำ | หยุดใช้งาน หาจุดและเปลี่ยนซีล/โอริง ปรับตั้งท่อ |
พ่น/ทะลัก | เป็นเส้นสเปรย์หรือไหลแรง | ห้าม | ดับเครื่องทันที แก้ไขก่อนใช้งาน |
เคล็ดลับเล็กๆ: หลังล้างและทดสอบ ให้ถ่ายรูปจุดที่พบก่อน-หลังซ่อมไว้ เวลาเกิดซ้ำจะย้อนรอยได้เร็ว และคุยกับช่างง่ายขึ้นมาก.
การเลือกเกรดและการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันไฮดรอลิกรถยก

บางวันรถยกทำงานเช้าในคลังเย็นๆ ตอนบ่ายออกลานร้อนจัด ระดับยกเปลี่ยนไปแบบจับได้เลย สาเหตุบ่อยครั้งคือเกรดน้ำมันไม่ตรงกับสภาพงาน เลือกให้เหมาะตั้งแต่แรก ประหยัดทั้งเวลา ทั้งค่าอะไหล่
เกณฑ์เลือกเกรดตามอุณหภูมิและภารงาน
การเลือกความหนืดอิงมาตรฐาน ISO VG และดูสภาพจริงที่รถต้องเจอ: อุณหภูมิเริ่มงาน-ระหว่างวัน, ความถี่การยก, น้ำหนักบรรทุก, และคู่มือผู้ผลิต (OEM) ที่ระบุชนิดสารเพิ่มคุณภาพ (AW/ashless) และความเข้ากันได้กับซีล
ตารางแนะนำเบื้องต้น (ใช้คู่กับสเปกของผู้ผลิต):
ช่วงอุณหภูมิแวดล้อม (°C) | ความหนืดแนะนำ | ประเภทน้ำมัน | หมายเหตุภารงาน |
---|---|---|---|
ต่ำกว่า -10 ถึง ~15 | VG 32 | HVLP (ดัชนี VI สูง) | สตาร์ตเย็นบ่อย ลดอาการหนืดตอนเช้า |
-5 ถึง 30 | VG 46 | HM หรือ HVLP | ใช้งานทั่วไปในคลัง/โรงงาน |
20 ถึง 45+ | VG 68 | HM หรือ HVLP | งานหนัก โหลดสูง ต่อเนื่อง |
แปรผันกว้างทั้งวัน | VG 46/68 | HVLP | คุมความหนืดเสถียรในช่วงอุณหภูมิแกว่ง |
ข้อพิจารณาเสริม:
- ปั๊มใบพัด/เฟืองส่วนมากต้องการน้ำมันชนิด AW (มีสารป้องกันการสึกหรอ)
- งานที่ต้องคุมความสะอาดสูง หรือซีลทองแดง/ทองเหลือง บางกรณี OEM แนะนำแบบ ashless
- จุดเสี่ยงไฟ เลือกชนิดทนไฟ (เช่น HFDU) ตามข้อกำหนดความปลอดภัยของไซต์งาน
ถ้ารถต้องออกงานนอกอาคารตอนบ่าย แต่จอดในคลังเย็นตอนเช้า เลือก HVLP จะช่วยให้แรงยกและการตอบสนองคงที่ขึ้น
ขั้นตอนเปลี่ยนถ่ายที่ลดการปนเปื้อน
- อุ่นระบบให้ถึงอุณหภูมิทำงานสัก 5–10 นาที น้ำมันไหลง่าย ตะกอนเคลื่อนตัวออก
- จอดพื้นราบ ลดงาลงสุด ปลดแรงดันทุกวงจร ปิดสวิตช์หลัก และล็อกความปลอดภัย
- เช็ดฝาเติม/คอถัง บริเวณพอร์ตและข้อต่อด้วยผ้าไร้ขุยก่อนถอด
- เก็บตัวอย่างน้ำมันก่อนระบาย ใส่ขวดสะอาด เผื่อส่งตรวจภายหลัง
- เปิดจุกระบายให้หมด ตรวจแม่เหล็ก/เศษตะกอน กวาดทำความสะอาดถังด้านใน (หลีกเลี่ยงผงขัด)
- เปลี่ยนไส้กรองกลับทาง/ดูด (return/suction) และตัวกรองระบายอากาศถัง ถ้าเป็นไปได้เติมไส้กรองด้วยน้ำมันใหม่ที่กรองแล้ว
- เติมน้ำมันใหม่ผ่านกรวยมีตาข่ายหรือปั๊มถ่ายแบบปิด ใช้น้ำมันจากถังที่ปิดสนิทและจารึกล็อตชัดเจน
- สตาร์ต เดินเบา ไล่อากาศ: ยก-เอียงช้าๆ หลายรอบ ตรวจฟองในถังและเสียงปั๊ม
- ตรวจการรั่วซึมทุกจุด ขันรัดที่หลวม ปรับระดับน้ำมันให้อยู่ในขีดที่กำหนดเมื่อระบบนิ่ง
- ติดป้ายวันที่/ชั่วโมงที่เปลี่ยน และบันทึกล็อตน้ำมัน/ไส้กรอง
- เคล็ดลัด: ใช้เครื่องกรองแบบบายพาส 3–5 ไมครอนฟอกน้ำมันใหม่ก่อนเข้าระบบ จะช่วยลดฝุ่นเริ่มต้นได้มาก
- ความผิดพลาดที่พบบ่อย: เติมเกิน, ไม่เปลี่ยนไส้กรองพร้อมกัน, ใช้กรวยสกปรก, ไม่ลดงาลงก่อนตรวจระดับ
ห้ามผสมน้ำมันคนละเกรดหรือคนละชนิดในระบบเดียวกัน
การกำหนดรอบเปลี่ยนตามชั่วโมงใช้งาน
แนวทางกำหนดรอบแบบใช้งานได้จริง (ยึดคู่มือ OEM เป็นหลัก):
สภาพงาน | รอบเปลี่ยนน้ำมัน | รอบเปลี่ยนไส้กรอง | หมายเหตุ |
---|---|---|---|
คลังสะอาด ใช้งานปานกลาง | ทุก 1,500–2,000 ชม. หรือ 12–18 เดือน | ทุก 750–1,000 ชม. | ตรวจระดับ/สีรายเดือน |
งานหนัก โหลดสูง กลางแจ้งร้อน | ทุก 800–1,200 ชม. หรือ 6–12 เดือน | ทุก 400–600 ชม. | เฝ้าฟอง/เสียงปั๊ม |
ฝุ่น/ชื้น/ละอองสารเคมีสูง | ทุก 500–800 ชม. หรือ 6–9 เดือน | ทุก 300–400 ชม. | เปลี่ยนกรองหายใจถังบ่อยขึ้น |
รถใหม่/หลังโอเวอร์ฮอล | ครั้งแรกที่ 250–500 ชม. | พร้อมกัน | ช่วยกำจัดเศษรันอิน |
มีโปรแกรมตรวจวิเคราะห์น้ำมัน | ตามผลวิเคราะห์ (อาจขยายถึง 2,500–3,000 ชม.) | ตามความต่างความดันกรอง | ยึดค่าฝุ่น น้ำ และกรดเป็นหลัก |
ตัวชี้วัดที่ควรเปลี่ยนก่อนกำหนด:
- สีคล้ำ ขุ่นเป็นน้ำนม หรือกลิ่นไหม้
- ปั๊มมีเสียงหอน แรงยกลด การเคลื่อนที่กระตุก
- ฟอง/อากาศในถังไม่ยุบ หรือมีคราบยางเหนียวในวาล์ว
คำแนะนำสั้นๆ:
- ตรวจนับชั่วโมงใช้งานจริง อย่าพึ่งแต่ปฏิทิน
- ถังเก็บน้ำมันสำรองควรปิดสนิท วางสูงพ้นพื้น เปลี่ยนตลับดูดความชื้นเป็นระยะ
- บันทึกประวัติเปลี่ยนถ่ายทุกครั้ง จะช่วยจับอาการผิดปกติได้ตั้งแต่ต้น
สรุป: การดูแลรักษาระบบไฮดรอลิกให้รถยกทำงานได้ดี
การตรวจสอบและดูแลรักษาระบบน้ำมันไฮดรอลิกของรถยกอย่างสม่ำเสมอเป็นเรื่องสำคัญมากนะครับ มันไม่เพียงแต่ช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยกให้ยาวนานขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้การทำงานของเราปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย การสังเกตอาการผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ และการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันตามระยะเวลาที่เหมาะสม จะช่วยป้องกันปัญหาใหญ่ที่อาจตามมาได้ หากไม่แน่ใจหรือไม่สะดวกในการตรวจสอบด้วยตัวเอง การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือศูนย์บริการก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ จำไว้ว่าการลงทุนกับการบำรุงรักษาที่ดี ย่อมดีกว่าการซ่อมแซมเมื่อเกิดความเสียหายแน่นอนครับ